วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2552

รักไม่ต้องการเวลา

เรื่องเล็กน้อย

เมื่อวันก่อนเกิดปัญหาขึ้นกับฉัน เรื่องนี้มีผู้ปกครองนักเรียนมาเอี่ยวด้วย
เค้าต้องการมาพบฉันเนื่องจากเรื่องบางอย่าง ซึ่งมันมีส่วนเกี่ยวข้องกับเราโดยตรง แต่บังเอิญวันนั้นเรา
ลากิจพอดี เพื่อนครูคนอื่นเลยรับกรรมแทนฉัน เพราะคนนั้นท่าทางหาเรื่องจริง ดีที่พี่คนนั้นช่วยแก้สถานการณ์ไว้ได้

ฉันรู้เรื่องโดยคนสนิทของฉันโทรมาบอกว่าเกิดอะไรขึ้นที่ รร ตอนแรกฉันเครียดมาก เพราะไม่นึกว่ามันจะเป็นแบบนี้ ฉันพยายามโทรหาเพื่อนที่ รร หลายคน แต่ไม่มีใครว่างรับสายเลยเพราะกำลังสอนอยู่

แต่หลังจากนั้นฉันเพียรโทรหาคนอื่นๆเรื่อยๆอยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นและเป็นยังไง แต่ทุกคำตอบที่ได้คือให้ฉันสบายใจได้ ไม่ใช่เรื่องร้าวแรงและใหญ่โตอะไร ทุกคนเข้าใจและแก้สถานการณ์ไว้เรียบบร้อยแล้ว โดยเฉพาะพี่ๆใน รร ที่ช่วยเราไว้เยอะมาก ออกรับและแก้ตัวแทนและยังแอบจิกด่ากลับแถมไปด้วย ทำให้เรารู้สึกว่า ทุกคนจริงใจกับเราจริงและทุกคนก็ไม่ถือว่าเราเป็นคนผิด เพราะเรื่องมันเล็กน้อยมากแต่คนๆนึงกลับทำให้เป็นเรื่องใหญ่ และพาลไปถึงหลายๆเรื่องหลายๆคน นั้นคือน้ำใจของทุกคนที่มีต่อฉัน

และตลอดเวลามีคนๆนึงอยู่ในสายกับฉันตลอดเวลา ในวันนั้นฉันกำลังเดินทางผ่านหุบเขาที่บางทีสัญญาณ
ก็ขาดหายไปเฉยๆ พอสัญญาณมาก็มีสายเข้าทันที บางทีฉันไม่พูดอะไรเงียบก็ไม่วางสาย ถือมันไปเรื่อยๆแบบนั้นแหละ เค้าก็ต้องถามว่า คิดอะไรอยู่ ไม่ต้องคิดมาก เรื่องมันไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เราคิดหรอก แค่คนๆเดียวที่เป็นแบบนี้ เป็นแค่ส่วนน้อยแล้วจะให้ความสำคัญกับสิ่งเล็กๆน้อยๆอย่างนั้นหรอ ทุกครั้งที่สายเข้าเวลาหลุดไปจะคอยถามอยู่ตลอดว่า เป็นไงบ้าง หายเครียดยัง และพยายามหาเรื่องคุยตลอด และอยู่กับเราจนเค้าอาซานละหมาดวันศุกร์ พอละหมาดเสร็จก็ต่อสายมาอีก

จนถึงตอนนี้อยากจะบอกขอบคุณจริงๆสำหรับความช่วยเหลือ ไม่ทิ้งกันและออกรับแทนกันโดยที่ไม่เกี่ยงว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเราทำไมต้องไปยุ่งด้วย ทำให้เรารู้ว่า อย่างน้อยก็ยังมีคนที่ดีจริงใจกับเราจริงๆ

และหลังจากวันนั้นฉันได้รู้อะไรในหลายๆเรื่อง เรื่องที่จะทำให้ฉันเข้าใจและอยู่ในสังคมนั้นได้อย่างมีความสุข

ขอบคุณน่ะทุกคน ..............................

วันศุกร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2552

คืออะไร


อะไรคือความเหมาะสม ที่คนสองคนจะคบกัน


อะไรคือตัวตัดสินว่า ควรจะคบหรือควรจะไม่คบ


ปัจจัยหลายนี้ตัวเองไม่ได้เป็นคนกำหนดขึ้นมาเอง


แต่คนอื่นเป็นคนสร้างขึ้นมาเองต่างหาก


ในเมื่อเรารัก เขาเป็นคนดี แต่มีอะไรบางอย่างที่ไม่คู่ควรกับเรา


ฉันไม่แคร์เรื่องหน้าตา ฐานะ แต่สิ่งที่ฉันต้องการมากที่สุดคือ ขอแค่คนนั้นเป็นคนที่มีความรู้เรื่องศาสนา


ส่วนสิ่งอื่นที่ตามมาเป็นผลพลอยได้


แต่ก็ลืมเรื่องนิสัยไปไม่ได้ ขอแค่เค้านั้นรักฉันให้เท่ากับที่รักตัวเค้าก้พอ


ถ้าเป็นคนจน แต่มีศาสนา คู่ควรรึป่าว


ถ้าเป็นคนไม่หล่อ แต่มีศาสนา คู่ควรรึป่าว


ถ้าเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาๆ ทำงานไม่โก้หรู แต่มีศาสนาคู่ควรรึป่าว


ถ้าไม่ได้จบปริญญาตรี แต่มีศาสนา คู่ควรรึป่าว


ทำไมคนเราถึงมีตั้งเกณฑ์มากมายหลายอย่างสำหรับเรื่องบางเรื่องที่มันไม่ใช่เรื่องของตัวเอง

วันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2552

รูปเก่าๆ









ไปค้นเจอรูปเก่าๆมา เลยเอามาลงบล้อกดีก่า แฮะๆๆๆ ไปดูเลย



รูปนี้ถ่ายกับแม่ค่ะ เสื้อดำ ส่วนด้านหลังอ่ะ ยาย ค่ะ วันนั้นจำได้ว่าไปงานศพของใครสักคนนี่แหละ อาการเลยออกมาอย่างที่เห็น ชอบตรงที่แม่มองเราเหมือนห่วงเราจังอ่ะ เรากำลังง่วงพอดี ก็เลยซบแม่อย่างนั้น


เฮ้อ ตอนนี้ก้ไม่มีแม่ให้กอดให้ซบแล้วสิ เศร้าจัง ต้องกอดตัวเอง

อันนี้ไม่ค่อยชัดอ่ะน่ะ แต่นี่คือญาติที่เกิดมารุ่นไล่ๆกัน ซ้ายสุดคือ โซไลฮา กับแม่เขา ตรงกลาง ยังกับคุณแม่ อิอิ ส่วนขวาสุด คือ อาลีย๊ะ กับแม่เหมืนอก้น คือเกิดปีเดียวกันหมดเลย แต่คนละเดียว วัน แค่นั้นเอง


ส่วนด้านหลังคือ บรรดากองเชียร์ ญาติๆ มี อาแบ มีพี่สาวฉัน ซูมะ กะญ๊ะ และกะนุช ซึ่งทั้งหมดมีครอบครัวและลูกๆก็โตๆ กันแล้ว เหลืออาแบคนเดียวที่ยังซิ่งไม่เลิก ไม่มีครอบครัว

ปัจจุบัน คนซ้ายคนขวา มีครอบครัวมีลูกหมดแล้ว เหลือคนกลาง ยังโสด ......

แสงจ้าไปหน่อย เพราะถ่ายมาจากกล้อง ไม่ได้สแกนมา กับพี่สาวยังเอง ตอนที่ยังอยู่บ้านเก่า อายุห่างกะพี่มากเลยอ่ะ แปดปี พี่ตัวโต แต่น้องยังตัวเท่ากะเปี็ยกอยู่อีก ตอนนั้นรู้สึกว่าจะอยู่ประมาณอนุบาลอ่ะน่ะ





กลับด้านซะงั้น รูปนี้ถ่ายตอนอยู่นครศรีธรรมราชค่ะ มีช่วงนึงที่ครอบครัวเราต้องย้ายไปอยู่ที่นครฯเนื่องมาจากพ่อต้องย้ายไปทำงานที่นั้น พวกเราเลยต้องอพยพครอบครัวไปอยู่ที่นั้น นี่คือในห้อง เราอยู่ในแฟลตของธนาคาร ซึ่งแฟลตนี้อยู่หลังธนาคาร ตอนที่ไปก้อยู่แค่สามคนคือ อาเยาะ เจ๊ะ แล้วก็ ยัง ส่วนพี่ก็ยังอยู่ที่ตานี เพราะต้องเรียนหนังสือ เลยอยู่กับยาย ช่วงนั้นจำได้ว่า เบื่อมากๆๆ เพราะตัวเองก็ยังไม่ได้เข้าเรียน วันๆๆก็อยู่ในแฟลตกับเจ๊ะสองคน ไม่มีของเล่น มีแต่ทีวีอันเล็กไว้ดู อย่างมากก็แค่เดินลงจากแฟลตแล้วไปที่ธนาคาร ถ้าปิดเทอมนี้สนุก ญาติๆจะมาเที่ยวกันเยอะเลย มานอนแฟลต ไปเที่ยว สนุกมาก คลายเหงาได้หน่อยนึง





บรรยากาศก่อนเรียนอัลกรุอานค่ะ นี่คือบรรดาหลานๆทั้งหมดที่มาเข้าคิวเพื่อจะเรียนในคืนนั้น เนื่องจากเรียนกับยายตัวเอง เสื้อผ้าที่ใส่ก้ไม่ต้องอะไรมาก เพราะเดินมาจากรั้วเดียวกัน ก่อนเรียนเราก็นั่งเล่นกับตาของเราก่อนค่ะ ฉันคือคนที่ชูมืออ่ะ นั่งใกล้กับตานั้นแหละ


แฮะๆๆ เริ่มเรียนแล้วค่ะ สังเกตว่า ยายก็ใส่เสื้อสบายๆเหมือนกัน ยายฉันนี่เก่งค่ะ สอนอัลกรุอานด้วย แต่หลังๆไม่สอนแล้ว สอนแต่หลานตัวเอง




อันนี้ตอนไปเที่ยวกับครอบครัวญาติๆ ไปหลายคนมากไม่ต่ำกว่าสิบคนได้มั้ง เลยมาเล่นเครื่องเล่นกัน ยังก็คือสาวที่หันหน้ามาหากล้องนั้นแหละ

วันอังคารที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2552

RaMaDon






เข้าวันที่ห้าแล้วน่ะ ที่ปอซอมา

กำลังคิดว่าทำไมมันถึงได้ผ่านไปเร็วเช่นนี้ ทั้งๆที่เมื่อก่อนเราคิดว่า แต่ละวันผ่านไปช้ามาก

แต่ตอนนี้ปุ๊ปปั๊บ ก้ห้าวันแล้ว นั้นสิทำไมมันถึงเร็ว

ที่เร็วเพราะทุกวันนี้ เราอาจจะไม่ได้เอาชีวิตไปผูกกับใคร

ใช้ชีวิตของตัวเอง ไม่ได้รอคอยใคร เวลาผ่านไปจึงรู้สึกว่า มันเร็วจัง

ทั้งๆที่งานท่วมหัว นอนไม่พอ เรานึกว่าจะแฮงค์ที่โรงเรียนซะแล้ว

ที่ไหนได้ยังมีแรงฟาดนักเรียนอีกเยอะแยะ กลับมาก็ไม่ค่อยรู้สึกเหนื่อย ถึงแม้ต้องกลับมาทำกับข้าว

เนี่ยแหละน่ะ ถ้ารู้จักปล่อยวาง ปล่อยชีวิตให้มันไหลตามเวลา เราก็จะรู้สึกว่า ชีวิตมันง่ายจัง




มีผู้ใหญ่บางคนบอกเราว่า รอมฎอนปี้นี้เก็บเกี่ยวความดีให้มาก ไม่แน่ว่าปีหน้าเราจะได้เจอกับรอมฏอน


อีกรึป่าว ฉันก็คิดว่าใช่ เพราะชีวิตฉันตอนนี้แขวนไว้บนความเสี่ยงทุกวินาที..ง





ขอให้ตักตวงความดี และความสุข ในเดือนรอมฏอนกันให้มากๆ น่ะค่ะ ( ^_^ )

วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ที่ทำไปมันผิดรึป่าว

เรื่องมันมีอยู่ว่า



วันนั้นเรากับพี่กำลังยืนต่อแถวเพื่อที่จะจ่ายเงินของในรถเข็นในห้างแห่งหนึ่ง ขณะที่กำลังรอก็มีสาวคนนึงคาดว่าอายุมากกว่าเราประมาณสองสามมปี เดินมา ถือรองเท้าแตะมาคู่นึง พร้อมทั้งยิ้มน้อยๆถามเราว่า

ฝากจ่ายให้หน่อยได้ไหม พี่เราไวกว่า ตอบไปว่า ไปเข้าแถวจ่ายเองสิ ว่าแล้วสาวคนนั้นจากยิ้มแป้นก็กลายเป็น หน้ามู่ทู่ เหมือนกระดาษยับๆ แล้วเดินออกไป พี่ฉันเลยพุดว่า



อะไรกัน ซื้อของแล้วจะมาเข้าแถวรอจ่ายเองไม่ได้ ถ้าจ่ายเองไม่ได้ก็ไม่ต้องซื้อ ทุกคนเค้าก็เข้าแถวทั้งนั้น

ตัวเองเห็นแก่ตัว จะฝากให้คนอื่นจ่าย



แล้วฉันก็ชำเลืองดูคนก่อนหน้าเรา เค้าซื้อของเพียงอย่างเดียวเหมือนกัน แต่เค้าก็เข้าแถวรอจ่ายเงินโดยที่เค้าไม่ได้ไปฝากให้คนอื่นจ่าย



ฉันก็คิดว่าที่ฉันทำไปมันผิดหรือป่าว อาจจะผิดในฐานะที่ไม่ช่วยเหลือพี่น้องมุสลิมด้วยกัน



ช่วยเหลือหรอ คำนี้มันน่าจะใช้กับคนที่ลำบาก แต่คนนี้ลำบากที่ไหน แขนขาก็ไม่ได้ขาด บ้านไม่ได้ยากจน

เห็นแก่ตัวต่างหาก ไม่อยากรอนานเลยเลือกคนที่ใกล้ๆวานให้จ่ายหน่อย



แต่อีกแง่นึง มันก็จะไปส่งเสริมความเห็นแก่ตัวของคนบางคนให้มากขึ้น ในภาพรวมคนอื่นเขาก็มองคนมุสลิมเป็นคนที่ไม่ดีอยู่แล้ว พอมาทำแบบนี้อีก คนอื่นก้ยิ่งมองไม่ดีกันใหญ่ เหมือนกับส่งเสริมกัน



พอเธอจ่ายเสร็จ คุณเธอก็เดินไปหาสามีเธอพร้อมทั้งทำหน้าทำตา เดาว่าน่าจะเล่าเรื่องของเรา เพราะจุดที่เราจ่ายตังค์ มันตรงกับที่สามีเธอนั่ง ทำหน้าทำตาเล่าไป เราเดาออกเพราะสายตามันฟ้อง สุดท้ายเราเดินไปใกล้แล้วพูดว่า หน้าไม่อาย รู้จักกันก้ไม่รู้จัก เอามาให้จ่ายหน้าตาเฉย แถมยังเอาเรื่องแย่ๆของตัวเองไปเล่าให้สามีฟังอีก แบงัง...............................................

ไม่น่าไปสงสารมันเลยรู้งี้ น่าจะด่าเปิงอีกรอบ

เรื่องที่สอง ...

วันนี้คาบที่ฉันสอน นักเรียนมันพูดมาก ฉันเลยบอกว่า งั้นครูไม่สอนแล้วให้เธอเขียนเยอะๆ สงสัยเธอคงชอบเขียน พอลงมือเขียนปุ๊บ มีนักเรียนขออนุญาตไปกินน้ำ สี่คน ฉันเลยบอกว่า ให้เวลาสองนาที ถ้ายังไม่ขึ้นมา โดนดีแน่ ผ่านไปสองนาที ก็ไม่ขึ้นมา ก็เลยลงไปตาม เห็นพวกมันนั่งทอยลูกแก้วกับเด็ก ป.สอง
ไม่อยากพูดมากจึงกวักมือขึ้นมา
พอขึ้นมาได้ ก็จับหนังสือเล่มนึง มาม้วนๆๆๆๆๆ แล้วถามนักเรียนว่า

มนุษย์ตัวไหนบอกว่าจะไปกินน้ำเมื่อกี้ แล้วไปทำบ้าอะไรตรงนั้น
เห็นว่าฉันใจดีใช่ไหม ป๊าบ
พวกเธอก็เลยเหลิง ปีาบ
ไม่รู้จักว่าใครครูใครนักเรียน ป๊าบ
โกหกฉันได้หน้าด้านๆ ป๊าบ
โดนไปทั้งหมด สี่คนด้วยกัน หลังจากนั้นพวกนั้นนั่งเงียบทำงานจนเสร็จเรียบร้อย
ฉันจึงส่งท้ายว่า ทีหลังห้ามโกหก ถ้าฉันจับได้ ฉันเอาหนักแน่

ฉันทำไปมันผิดหรือป่าว
ฉันไม่ได้แค้นใจตีเล่นๆ แต่ไม่ชอบที่พวกมันหลอกฉัน โกหกฉัน แถมยังมาล้อเลียนอีก
เรียกว่าพวกนี้มารยาทมันหดหายไปหมด เลยสั่งสอน ซะหน่อย เพราะฉันเป็นครูที่ใจดีเกินไป
นักเรียนมันเลยเหลิง
ฉันอาจผิดในเรื่องที่ฉันไปตีลูกคนอื่น เพราะบางคนพ่อแม่เค้ายังไม่เคยตีเลย
แต่ฉันอาจทำถูกในเรื่องหน้าที่ของครูก็ได้ จริงม่ะ

วันพุธที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เปลี่ยนโหมดตัวเอง


ตอนนี้ฉันกำลังสับสนว่าตัวเองมีสถานะเป็นอะไร แต่ละวันฉันต้องเปลี่ยนโหมดตัวเอง กดสวิตช์ไปมาเพื่อ


เปลี่ยนตัวเองไปเป็นอีกบทบาทนึงตลอดเวลา พอๆกับการที่ฉันต้องโอนสายมือถือจากอีกเบอร์นึงไปเป็นอีก


เบอร์นึงพอจะไป รร


ตื่นเช้าขึ้นมา ฉันก็ต้องกดสวิตช์เปลี่ยนโหมดตัวเอง แต่ฉันจะเรียดโหมดนี้ว่าอะไรล่ะ แม่บ้าน ภรรยา หรือลูก


สาว น้องสาว ดีล่ะ ที่ต้องคอยมาจัดการอาหารเช้าให้เสด็จพ่อ เสด็จพี่ และพระเจ้าหลานเธอทั้งสอง ฉันไม่รู้


เหมือนกันว่า ทำไมต้องเป็นหน้าที่ฉัน แต่ฉันจะหมดหน้าที่โดยทันทีที่ฉันรู้ว่าวันนี้พ่อฉันถือศีลอด ก็จะลอย


ชายไปมา รอเวลาอาบน้ำ และมีเวลาแต่งตัวมากขึ้น วันไหนพ่อฉันปอซอ ฉันจะสวยมากเป็นพิเศษเพราะมี


เวลาแต่งตัว ) หลังจากนั้น ก็จะกดสวิตช์เปลี่ยนโหมดไปเป็นคุณแม่จำเป็นของลูกๆทั้ง 7 ตัว คอยเอาข้าวให้


จนบางทีคุณแม่เอง ก้ไม่ได้กินข้าว เพราะเอาให้ลูกหมดๆ แล้วคุณแม่ก็นั่งร้องให้ ซึ้งใจที่ลูกๆกินข้าวซะ


เกลี้ยง


พอจะออกจากบ้านไปโรงเรียน ต้องกดสวิตช์เปลี่ยนโหมดใหม่อีกครั้ง คราวนี้หนักหนาสาหัสมาก เปลี่ยน


บทบาทไปเป็นคุณครู ที่ตอนแรกดูเหมือนว่าจะเป็นนางฟ้าแสนสวยผู้ที่ใส่เสื้อไปโรงเรียนตามสีของวัน แต่


หลังๆมา เริ่มจะกลายเป็นนางยักษ์เปลี่ยนสี ที่เสียงเริ่มแสบแก้วหู พอลงรถก็จะมีเด็กๆตาดำๆวิ่งมาแย่งเพื่อที่


จะถือกระเป๋าบางครั้งไม่ทันจอดรถดี มาเคาะกระจกป็อกๆๆๆๆ จะเอากระเป๋า หลังจากนั้นก็จะเป็นโหมดนี้


เรื่อยไปจนกระทั่งถึงเวลาเที่ยง ก็จะเปลี่ยนโหมดตัวเองไปเป็นน้องสาวที่น่ารักของพี่ๆ เฮอาเวลาพักและตอน


กินข้าว พอจะผ่อนคลายได้หน่อย เอ้า ต้องเปลี่ยนโหมดอีกแล้ว ไปเป็นคุณครู ที่ไม่โหดแต่ปากร้าย


ประมาณบ่ายสองสี่สิบ ก็เปลี่ยนโหมดกลับมาเป็น มาเรีย คนเดิม กลับมาถึงบ้านก็เปลี่ยนโหมดเป็นแม่ครัว


แม่บ้าน อีกแล้ว ทำกับข้าว ล้างจาน ทิ้งขยะ จนกระทั่งบางทีคนไม่รู้จักเราคิดว่า เราเนี่ยเป็นคนใช้บ้านนี้ โอ


วววววววววววว คิดกันได้เนอะ ประมาณห้าโมงเย็น คราวนี้ก็กลับไปเป็นตัวเองที่เป็นมาแต่เดิม บางทีก็


กลายเป็นเด็กเมื่อเล่น สไปเดอร์แมนกะหลาน หรือเล่นเกมส์ในเนต จนกระทั่งละหมาดมักริบ นี่แหละที่เป็นตัว


ตนเราจริง ๆๆ ระหว่างนี้เราไม่ต้องเปลี่ยนโหมดใดๆ สำหรับใครแล้ว ไงก็ ตื่นนอนพรุ่งนี้ก็ค่อยเปลี่ยนโหมด


ใหม่ล่ะกัน ไปล่ะ zzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzz

วันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2552

in today

ตอนนี้เราเริ่มรู้สึกว่า ไม่ค่อยมีเวลาให้ตัวเองเท่าไหร่ จะด้วยงานที่ยุ่งมาก เอกสารทั้งหลายแหล่

จนบางครั้งลืมนึกถึงสิ่งที่เราเคยทำ และสิ่งที่เราชอบทำที่สุด

หลายวันที่ผ่านมานี้ พอกลับจากโรงเรียน ตัวเองต้องมานั่งพิมพ์เอกสารที่ยังไม่ครบพร้อมกับบันทึกต่างๆที่

ต้องทำให้มันเป็นปัจจุบัน ไหนจะส่ง E-network บางครั้งก็ต้องเซฟหนังสือรับจากเขตไปให้ธุรการโรงเรียน

ที่ทำให้ไม่ได้พิศวาสอะไรหรอกน่ะ แต่ทำเพราะเห็นว่าเราเล่นเนตบ่อยและที่ รร เนตมันมาๆขาดๆ บางวันต่อ

เนตไม่ได้เลย ทำให้งานรับหนังสือไม่เดิน เราก็ไปเซฟให้เพราะยังไงมันก็งานของโรงเรียนเราเอง

จากการที่ต้องนั่งแหงกเป็นเวลานานๆ ทำให้เราลืมตัวของเราเอง ลืมสิ่งที่เราชอบทำมากที่สุด

หนังสือที่เราซื้อห้าเล่มเรายังไม่ได้อ่านเลย บางเล่มซื้อมาตั้งแต่สิงหาปีที่แล้วก็ยังไม่ได้เปิดอ่านเหมือนกัน

ลืมสิ่งที่เราชอบทำมากที่สุด คือ ปักครอสติช ซึ่งแต่ก่อนเราบ้าเอาการมาก เรียกได้ว่า ทำเสร้จปุ๊บต้องหา

รูปใหม่มาต่อทันที มันฝึกสมาธิเราได้มาก แต่ตอนนี้เราไม่มีเวลาจะไปหา หรือถ้าปักคงคาไว้แบบนั้นอีกนาน

กว่าจะเสร็จ

เราทำอะไรๆจนลืมนึกถึงตัวเอง ตอนนี้ปล่อยให้สิวขึ้นจนเหลือรอยดำให้จัดการต่อไป ปล่อยให้ผอมบักโกรก

เวลาสองเดือนน้ำหนักลดไปแล้วสี่กิโล แต่ก่อนอยู่ รร เก่า อุดมสมบูรณ์มาก น้ำหนักพุ่งมาอยู่ที่ 47 โล แต่มา

ตอนนี้ไปชั่งมาเหลือ 43 โล มิน่าล่ะช่วงนี้กางเกงใส่ไม่ค่อยอยู่เลยต้องเอาเข็มขัดมาช่วยตลอด และจากการ

ที่ผอมบักโกรก ก็เลยทำให้เรากลายเป็นคนเบื่ออาหารอย่างสมบูรณ์ ช่วงนี้ปฏิเสธอาหารทุกอย่าง คือรู้สึก

ว่าไม่อยากกิน ไม่อยากแตะต้อง นึกไม่ออกว่าจะกินอะไร ขนาดพี่เรายังถามเลยว่า แกกินอะไรบ้างล่ะวันๆนึง

ช่วงนี้ตอนเช้าก็ไม่ค่อยอยาก กินแค่นมกล่องนึง พอเที่ยงก้กินข้าวเที่ยงอ่ะแหละเพราะใช้พลังงานเยอะ

แต่พอตอนบ่ายกลับมาปั่นงานก็พึ่งกาแฟถ้วยนึง หรือชาเย็นถุงนึง กับลูกชิ้นสามไม้ก็ไม่กินอะไรแล้ว ขนาด

วันเสาร์วันนัดมีอะไรให้กินเยอะ แต่ตอนเช้าเรากินข้าว แต่ตอนเที่ยงไม่กิน แล้วบ่ายสามก้ไปหาขนมกิน

แล้วก็กาแฟถ้วยนึง แล้วก็ไปปั่นงานต่อ มันก็เลยเบื่ออาหารอย่างต่อเนื่อง จนคนบอกว่าเราท้องพลาสติก

แต่ชีวิตเราก็ยังมีความสุขนะ ยังสนุก หัวเราะ ขำ และยังสังสรรค์กับเพื่อนได้เหมือนเดิม ยังมีเวลาอยู่กับ

ครอบครัว ยังมีเวลาเล่นกะหลาน ยังไปเที่ยวได้ เพียงแต่เราไม่มีเวลาให้ตัวเองก้เท่านั้น

วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

I Tired

แต่ละวันนอนมองดุฟ้าด้วยความสงสัย ว่าทำไมคนเราถึงต้องมีความเหงา

ชีวิตก็ยากอยู่แล้ว ไม่เคยเป็นของเรา ทุกๆมีเรื่องให้ทำมากมาย

แต่ละวันวงจรชีวิตก็ดูซ้ำๆ และต้องทำๆๆๆๆและต้องทำต่อไป

บางครั้งฉันไม่รุ้ ฉันทำเพื่อใคร เหมือนไม่มีเหตุผลอะไรให้ทำ

บางครั้งฉันจะอยากจะหายไปจากโลกนี้จริงๆ บางครั้งคิดว่าทำไมไม่มีคนมาดักยิงฉันกลางทางมั้งน่ะ

จะได้หายๆไปจากโลกนี้เสียที ฉันเบื่อกับการที่ต้องทนกับอะไรที่ไม่ได้ดั่งใจเค้า

สิ่งที่ฉันอยากได้ อยากเจอ มันก็กลายเป็นแค่ความว่างเปล่า

สิ่งที่ฉันอยากได้บางทีมันมากไปสำหรับใครบางคน จนทำให้เหนื่อยใจ

ก็ไม่เป็นไรฉันไม่อยากได้แล้ว ฉันจะมีชีวิตของฉันอย่างนี้แหละ

วันพุธที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

เรียนต่อ



หลายๆคนชอบมาถามฉันเสมอว่า ทำไมไม่เรียนต่อโท เมื่อไหร่จะเรียนต่อล่ะ เฮ้แกเรียนโทด้วยกันไหม

หรือ ไอ้ยังฉันแกว่าแกน่าจะเรียนต่อโทได้แล้วน่ะ (อันนี้พี่เราพุด ) คำตอบที่เรามักตอบเสมอคือ ไม่มีเงินเรียน ไม่มีเวลา เสียดายตังค์ ทั้งๆที่ความเป็นจริงแล้วถ้าเราเรียนพ่อเราจะเป็นคนออกค่าใช้จ่ายให้หมด

ถึงแม้เราทำงานแล้วเถอะ ไม่มีเวลา เสาร์อาทิตย์เราก็ยังนอนอยู่บ้านสบายเฉิบ


ตอนที่เรียนจบตรีใหม่ๆ พ่อฉันเสนอความคิดให้ว่า ฉันน่าจะเรียนต่อเลย ถ้าปล่อยไปนานๆไฟมันมอด

แต่ฉันอยากจะลองใช้ชีวิตมนุษย์เงินเดือน ลิ้มรสแห่งการทำงาน และอยากจะชื่นชมกับการได้เงินเดือนเดือนแรก เลยสัญญากับพ่อว่า ถ้าฉันยังหางานไม่ได้ฉันจะเรียนต่อโท แต่แล้วฉันก็หางานได้เลยต้องทำงานเรื่อยๆมา และคำสัญญาก็ทวงมาอีก แต่ฉันก็ปฏิเสธได้ว่า ฉันไม่มีเวลาไปเรียนเพราะ รร เอกชนสอนศาสนาอิสลาม เค้าปิดศุกร์ เสาร์ มันไม่ตรงกับกับวันที่เรียนคือ เสาร์ อาทิตย์ ก็เลยคลาดไป แต่มันก็มีถามขึ้นมาเรื่อยๆ ตอนนี้ก็มีถามอีกล่ะ พอหน้าที่การงานเริ่มจะมั้นคง ก็มีคนชวนไปเรียนอีก คราวนี้เลยคิดหน่อย


ที่จริงแล้วเรื่องเรียนต่อมันไม่อยู่ในความคิดเราแล้วล่ะ ถ้าเราไปเรียนเราก็ยังหาคำตอบไม่ได้ว่าเราจะเรียนอะไร ถ้าอาชีพครูที่ฮิตที่สุดคือ บริหารการศึกษา เพราะตรงเป้าหมายและสามารถนำไปใช้ในงานของตัวเองได้ ตอนแรกคิดจะะเรียน อังกฤษ แต่ไปมาๆคิดว่าพื้นฐานเราคงไม่ได้เท่าคนที่จบตรีมา สุดท้ายฉันก็เลยไม่อยากคิดเรื่องเรียยนต่อ ฉันให้คำตอบกับตัวเองว่ า เด่วให้ฉันคิดก่อนว่าฉันจะเรียนอะไร เรียนไปทำไม

ถ้าเราให้คำตอบกับตัวเองได้ เราก็จะเรียน


ฉันได้ยินคำพูดที่มีคนนึงพูดไว้ว่า ตอนนี้ปริญญาตรีอย่างเดียวไม่พอกินหรอก


เฮ้อ .... เค้าก็เลยเรียนเพื่ออัพเกรดของตัวเอง ว่าวั้น บางคนอายที่จะไปขอสาวโดยพกปริญญาตรีไป แต่ถ้ามีโทไปหน่อย ไม่แน่อาจยกลูกสาวให้ฟรีๆมั้ง ถ้าการเรียนจบโทเป็นการบอกว่าคนๆนั้นเก่ง ฉันก็ขอโง่กับปริญญาตรีนี่แหละ เพราะฉันยังคงความคิดแบบโบราณๆว่า ผู้หญิงไม่ต้องเรียนสูงมากก้ได้ แต่ฉันกลับอยากได้ผู้ชายที่เรียนสูง เพราะฉันคิดว่าผู้ชายควรที่จะเป็นฝ่ายเรียนสูงมากกว่าผู้หญิง เนื่องด้วยปัจจัยหลายๆด้าน

ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่ การงาน ต่างๆหรือเรื่องต่างๆที่ต้องรับผิดชอบ หรือหัวหน้าครอบครัวผู้ชายต้องเป็นคนที่มีความรุ้ เพราะฉะนั้นไม่แปลกเลยที่ผู้ชายควรจะเรียนสูงๆเข้าไว้ แต่พอเรียนสูงปัญหารที่ตามมาคือ เหยียบดินไม่ได้ ประมาณว่า ฉันเก่งกกว่าเธอ ฉันดีกว่าเธอทำไมฉันต้องยอมเธอ ต้องลดตัวไปทำอะไรๆที่เธอสั่งแบบนี้ก้ขอปริญญาตรีอย่างเดิมดีก่า


ฉันไม่ต้องการเป็นคนเก่งในสายตาใคร ไม่อยากโดดเด่นในสังคม ฉันขอเป็นแค่คนธรรมดาคนนึง

ถ้าการเรียนโทมันทำให้ฉันเด่น เก่งในสายตาคนอื่น ฉันไม่ค่อยภูมิใจเท่าไหร่ แต่ถ้าฉันเป็นคนเก่ง คนดีและเด่นในสายตาของคนที่ครอบครัวของฉัน คนรักของฉัน ถึงแม้ว่าจะจบแต่ตรีฉันก้ภูมิใจมากก่า


ตอนนี้ฉันอยากเรียนโท คณะบริหารจัดการครอบครัว วิชาเอก การปกครอง การดูแล การจัดการ ภายในครอบครัว วิชาโท การอาหารและงานบ้านงานเรือน มีมหาลัยที่ไหนเปิดสอนบ้างค่ะ


วันเสาร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ความสุข


วันนี้ถือเป็นฤกษ์ดีที่เรากลับมาขายของอีกครั้ง หลังจากที่หยุดไปนานเนื่องด้วยความเซงที่โดนแย่งที่
และประกอบกับไม่ค่อยว่างในช่วงวันที่มีตลาดนัด อีกทั้งผู้ช่วยขนของและจัดของให้เราได้หนีไปอยู่พัทลุงแล้ว เลยขี้เกียจขนของเอง


วันนี้กลับหวั่นใจว่ามันจะขายของได้มากเท่าไหร่อ่ะ เพราะของที่มีมันก็เป็นของค้างมานาน แถมหลังๆมาเนี่ยมีร้านขายแบบเดียวกะเรามาขายด้วย ก็เลยคิดว่าต้องหาอะไรใหม่ๆมาขายบ้างล่ะ หรือนานๆมาขายที
แต่กลับผิดคาดวันนี้มีคนมาซื้อเยอะแฮะ ไม่ว่าใครต่อราคาเท่าไหร่ก้ลดหมดเพราะขี้เกียจให้มันค้างๆจะได้ถ่ายไปให้หมดๆ จะได้ซื้อของใหม่มาขาย


พอขายได้สักพักมีลุงแก่ๆคนนึงเดินไปเดินมา ถือถุงใบนึง เราก็งงว่าลุงแกมาทำอะไรเนี่ย คนขายข้างๆเราถามว่า จะทำอะไรหรอ เขาบอกว่าจะขายยา เขาก็บอกว่ามานั่งข้างๆนี้ก้ได้ ว่าแล้วลุงแกก็นั่งและก็ขาย
มีคนมาดูยาแกมาก แต่เราไม่รู้ว่ามีคนซื้อป่าว ดูลุงคนนั้นแล้วทำให้เรานึกถึงตอนที่เราไปมาเลย์ ตอนที่พักริมทางกินข้าวเที่ยง เราก็กินๆข้าวอยู่ สักพักมีลุงแก่ๆคนนึงเดินเป๋ๆมา แล้วมาขายยาเรา ด้วยความที่เรากินข้าวอยู่เราก็บอกว่าไม่เอา แล้วลุงก็เดินไปตามโต๊ะอื่นๆ ตอนนั้นใจเรากำลังกังวลจะไปโทรศัพท์กลับไปที่บ้าน เพื่อให้คนที่บ้านมารับเราที่กำลังจะกลับในวันนี้ เลยไม่ได้สนใจตาลุงมากนัก แต่พอเรากลับมาบ้าน

เรานึกยังไงไม่รู้ดันคิดถึงลุงคนนนั้นขึ้นมา แล้วก้รุ้สึกผิดกับตัวเองว่า ทำไมตอนนั้นเราไม่คิดที่จะให้เงินกับลุงคนนั้น ถึงแม้ว่าเราไม่ซื้อยาก็ตาม ว่าแล้วน้ำตามันก้ไหล ไม่รุ้ว่าไหลทำไมเหมือนกัน แต่รู้สึกเจ็บใจตัวเองที่เพิ่งคิดได้ตอนนี้ ทำไมเราไม่คิดให้เร็วกว่านี้ จะได้ให้เงินลุงนั้นไป เราร้องให้รู้สึกว่าไม่มีเหตุผลเหมือนกันที่ร้องให้แต่เราก็ร้องไม่รู้เพราะอะไร ถ้าย้อนเวลากลับได้เงินที่เหลือในกระเป๋าที่เป็นเงินมาเลยืเราคิดว่าจะให้เขาหมดเลย


มาวันนี้เราเจอกรณีเดียวกัน เราก้คิดว่า ถ้าประเดี๋ยวเราเก็บของเสร็จอ่ะน่ะ เราจะให้เงินแกสักหน่อย ว่าแล้วพอเก็บของจะกลับบ้านเสร้จ เราก็เดินไปหาแก แล้วถามว่า จะไปไหนต่อ ลุงตอบว่า จะกลับบ้านแล้ว

เราก็ควักเงินให้แกไปแล้วบอกว่า เราซาดาเกาะห์ให้น่ะ ลุงรับเงินจากเราแล้วกล่าวพึมพำอะไรไม่รู้เหมือนกับตอบขอบคุณเรา แล้วเอาเงินเราไปทาบที่หน้าอกเขา คนที่ขายข้างๆก็มองเรา เราก้เดินยิ้มออกไปรู้สึกว่าครั้งนี้เราทำถูกต้องแล้วน่ะ เราจะไม่ปล่อยให้เราต้องเเจ็บใจตัวเองอีกแล้ว จะไม่เป็นเหมือนครั้งก่อนแล้ว

พอจะกลับเราก้เห็นลุงคนนั้นเดินไปซื้อข้าว ไม่รู้ว่าเอาเงินเราไปซื้อป่าวน่ะ แต่เราไม่บอกว่าเราให้กี่บาท
ก็มากพอเอาไปซื้อข้าวได้หลายมื้อมั้ง อิอิ


มีความสุขจังเลยวันนี้


วันจันทร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2552

เปลี่ยนแปลง

ช่วงนี้ไม่ได้เข้ามาเขียนอะไรในบล็อกของตัวเองเลย เนื่องจากว่ามีอะไรหลายๆอย่างยังไม่ลงตัว

หลังจากเปิดเรียนได้ 2 สัปดาห์ ก็ต้องเจอการเปลี่ยนแปลงแบบกะทันหัน นั้นคือ การเปลี่ยนตำแหน่งและโรงเรียน

แรกๆก็ดีใจอ่ะน่ะที่ได้ตำแหน่งที่ดีขึ้น แต่อีกใจนึง มันกลับเหงาอย่างบอกไม่ถูก

เคยอยู่ รร นี้ สนิท สัมพันธ์กับพวกพี่ๆ จนคิดว่า ไม่อยากจะไปที่ไหนแล้ว

กำลังคิดว่า รร ที่จะไปอยู่ใหม่นี้ มันจะเป็นไง จะมีเหมือนที่เราเคยเจอบ้างหรือป่าว

มันเศร้าน่ะ ที่คิดว่าจะจากที่นี่ไปแล้ว และวันที่เราต้องจากไปก็มาถึงจริงๆ

เรารู้แล้วล่ะว่าวันนี้เราต้องเจออะไรบ้าง เตรียมคำพูดมาอย่างดีเพื่อที่จะอำลากับนักเรียนหน้าเสาธง

พูดไปแรก ๆๆ มันก็ดี แต่พอหลังๆ มันเกิดอาการต่อมน้ำตาแตกขึ้นมา ร้องให้ไม่อายประชาชี

เจอใครเข้ามาปลอบก็ร้อง ๆๆๆๆ อยู่นั้นแหละ แม้เวลาที่เขาไปส่งตัวที่ รร ใหม่ พอทุกคนกลับกำลังจะกลับ

ก็ร้องให้อย่างไม่อายครูที่ รร ใหม่เลย จนครูเขาตกใจวา่ ร้องทำไม ไม่เป็นไรน่ะ เด่วพี่ดูแลเอง

เหอๆๆๆ สรุปแล้ววั้นนั้ร้องทั้งวัน หลังจากนั้นวันศุกร์นี้ก็ต้องไปงานเลี้ยงส่งต่อ สนุกแน่คราวนี้

วันเสาร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

มีอะไรใน linkinpark.com

เราเป็นคนรัก ลินคินมากกกกกกก เลยอยากจะเสนอเว็บนึงที่เราเข้าไปบ่อยมาก
เพื่อติดตามข่าวสารของวงนี้ เลยจะพาไปดูหน้าตาของเว็บของพวกเขาดูว่ามีอะไรบ้าง


นี่คือหน้าแรกของเว็บ เป็นส่วนของ Home ที่จะมีรายละเอียดต่างๆที่เราสามรเข้าไปดุได้ ตั้งแต่ด้านบนสุดที่เป็นส่วนของ Band จะมีข้อมูลของสมาชิกต่างๆ มีรูป และหน้าแรกมีจอเล็กๆ ที่แสดงรายละเอียดเกี่ยวกับวีดีโอของ ลินคิน ภาพเบื้องหลัง หรือส่วนที่เรียกว่า LPTV มีทั้ง MV เบื้อหลังการถ่ายทำ อะไรๆที่น่ารักของลินคิน บางครั้งเราดูยังแอบขำเล็กๆ



ส่วนนี้เปนส่วนของเอ็มวี และเป็นส่วนของ Fan ขอคลิกเลือกพี่ไมค์สุดหล่อน่ะค่ะ จะมีคอมเม้นท์จากแฟนๆสมาชิก เกี่ยวกับตัวของไมค์ และส่วนสมาชิกอื่นๆก็มีเช่นกัน





ส่วนนี้เป็นส่วนของ LPTV ในส่วนของงานแกลลอรี่ที่ไมคืจัดแสดง ภาพวาดของไมค์ ที่นำมาจัดนิทรรศการ มีพาไปดูบรรยากาศงานต่างๆ


ส่วนนี้ เอ็มวี in the end ข้อดีอย่างหนึ่งที่สังเกตเห็นคือ เอ็มวีจะมีภาพที่คมชัดมากกว่าที่ดูใน youtubeอีก





สุดท้ายก็คือ แกลอรี่รูปของพวกเขา ที่จริงมีอีกมาก ต้องไปดูเองใน http://linkinpark.com เลยค้า

วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

หายใจอีกครั้ง

ในที่สุด แสงสว่างที่ฉันพูดถึงก็มีจริง ในความหวังที่มันมืดไปแล้ว แต่ในที่สุดก็มีแสงสว่างขึ้นมาจนได้

ผลสอบที่ฉันรอคอย .... มันก็เป็นจริง ในที่สุด .. ฉันก็ทำได้ และ ฉันต้องทำต่อไป

ฉันคิดว่าสิ่งนี้มันเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าไม่ใช่ความประสงค์ของอัลลอฮ

ฉันเคยได้ยินคำนี้ว่า ความพยายามอยู่ที่เรา ความสำเร็จอยู่ที่อัลลอฮ และมันก็จริงด้วย

ที่เหลือตอนนี้ฉันต้องแข่งกับคนอื่นแล้ว ที่ผ่านมาฉันแข่งกับตนเอง

และเป็นอีกครั้งที่ฉันได้คำชมดีๆจากคนในครอบครัวของฉัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ฉันมีความสุขมากที่สุด

และยินดีมากกว่าคำพูดที่ใครๆพูดกัน ถึงแม้จะคนนั้นจะเป็นคนรักของฉัน เพื่อนสนิทของฉันก็ตาม

มันดูไม่มีค่า เทียบเท่ากับ คำพูดของคนในครอบครัวเลย

ตอนนี้ฉันเริ่มรู้สึกว่าตัวเองสามารถยืนด้วยตัวเองได้ ไม่ต้องขอความช่วยเหลือจากใคร

อะไรๆในตอนนี้มันก็ไม่มีค่าสำหรับฉันนอกเหนือจากการงานของฉัน เรื่องอื่นอ่ะกลายเป็นเรื่องขี้ปะติ๋วทันที

ไม่ว่าจะเป็นความรักที่ฉันคิดว่าตอนนี้ฉันไม่คิดจะสนใจกับมันอีกแล้ว หรือเรื่องอื่นๆในชีวิตที่ฉันคิดว่าฉันยัง

ไม่ได้ ตอนนี้หยุด หยุด หมดทุกสิ่ง ฉันอยากทำชีวิตของตัวเองให้ดีก่อน ถ้าฉันดีพอ ฉันก็ไม่ต้องง้อใคร

ฉันจะใช้ชีวิตของฉันให้คุ้มค่า ให้มีความสุข กับครอบครัวของฉัน และตัวฉันเอง

และใช้ชีวิตอยู่ในกรอบศาสนาที่ถูกต้อง ส่วนพรุ่งนี้ขอลาหยุดยาว ไปเที่ยว ไปหาความสุขให้กับตัวเอง

ขอทำตัวเหมือนคนติดเกาะ ไม่มีไฟ ไม่มีสัญญาณมือถือ ไม่มีน้ำใช้ คิคิคิ

วันจันทร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

เรียบร้อยแล้วค่ะ


และแล้ว ระยะเวลาอันยาวนานกับการที่ต้องอ่านหนังสือก็ได้จบลงแล้ว ....

หลายวันที่เราไม่ได้ดูโทรทัศน์ ไม่ได้รับรู้อะไรเลย มีก็แค่ผ่านหู แต่ไม่สนใจ

หลังจากเครียดมาหลายวัน วันนี้ขอกระหน่ำเล่นเกมส์ เล่นเนต ขอดูแจ๋วใจร้าย 55

อะไรอีกมากมาย ให้สาสมกับตัวเองที่เซอร์เหลือกเกินกับการสอบในครั้งนี้

ใครจะไปเดาใจได้ล่ะ วันแรกทำได้และคิดว่า ต้องผ่านแน่ มีความหวังขึ้นมาฉับพลัน เพราะที่อ่านมา

มันออกเปะๆๆๆ เลยยิ้มออกมาจากห้องสอบ แต่วันที่สองมันเหมือนวันแห่งการดับความหวัง

มาวิชาแรกก็โดดโผไปมาก เราอุตสาห์เน้น หลักสูตรแกนกลาง 51 ที่ใหม่นักหนา แต่ว่าออกไม่ถึง 10 ข้อ

ผิดหวังมากมาย และจิตวิทยาที่อุตสาห์จำมากมาย แต่ก็ไม่ได้อะไรกลับมามากมาย กลับกลายเป็นว่า

ออกเรื่องหลักการสอนมากมาย เลยท้อ นี่ยังไม่รวมวิชาเอกอีกน่ะ ตอนบ่ายเลยปล่อยวาง ไม่อยากคิดมาก

แล้ว ทำเท่าที่ทำได้ ออกมาก็หัวเราะสะใจกับตัวเองที่ทำไม่ได้ ขากลับขับรถซิ่งมาก ระบายอารมณ์

ประมาณ 15 นาทีถึงบ้าน แล้วขี้เกียจคิดเรื่องนั้นอีกแล้ว กลับมาเล่นเกมส์ระบายอารมณ์ กับข้าวไม่มี

อารมณ์จะทำแล้วโว็ยยย กินข้าวไม่มีอารมณ์โว้ยยยย สุดท้ายกลางคืนต้องแก้เหงาด้วยการรีดผ้ากองโต

อนาคตผ่านภาค ก ดับสิ้นแล้ว แต่ใครจะรู้บางทีในความมืดมันก็มีแสงสว่างจุดนึงขึ้นมาทำให้เรามองเห็นก็

เป็นไปได้ คิคิคิ เนอะ

วันพุธที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ปวดหัวค่ะ

หายไปนานล่ะค่ะที่ไม่ได้มาเขียนอะไรในบล้อกเลย

แต่วันนี้ปวดหัวมากค่ะ กับการอ่านหนังสือ

ตื่นมาตอนเช้าปวดหัวซีกซ้ายมาก ร้าวไปทั้งซีกเลย

เลยต้องนอนต่อตอนประมาณ แปดโมง กว่าๆ รอให้รายการคันปาก จบก่อน แล้วต่อด้วย CSI ในช่องเคเบิ้ล

จึงนอน ตื่นมาก็ยังมึนๆอยู่ ยอมรับว่าปวดหัวจริงๆ แต่ก็อ่านหนังสือต่อ ยิ่งอ่านยิ่งมึน แต่ตั้งเป้าไว้ว่าวันนี้

ต้องอ่านจบ แล้วก็ต้องนอนเป็นรอบที่สอง ตื่นมาดันเจ็บที่ต้นคออีก สงสัยตกหมอน

เฮ้อไม่ไหวจริงๆ พยายามอย่างที่สุดแล้วน่ะ ถ้าได้ก้ดี ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร

วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2552

หยุดชั่วคราวค่ะ

ช่วงนี้หยุดชั่วคราวค่ะ


ขออ่านหนังสือ เตรียมสอบหน่อย


ความจริงอยากเขียนอะไรอีกมากค่ะ


แต่ต้องยั่งใจไว้ก่อน เด่วจะกลับมาเขียนใหม่


แน่นอน ค้า ........


วันศุกร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2552

แค่อยากรู้ เธอยังไม่ลืมฉัน

Piglet sidled up to Pooh from behind

"Pooh" he whispered

yes! piglet ?

"Nothing " said Piglet taking Pooh's paw

I just wantd to be sure of you

พิกเล็ตเดินตามพูห์ไปต้อยๆ และคงไม่ได้คุยอะไรด้วยเลย
พิกเล็ตเลยต้องขอเสียงด้วยการเรียกชื่อพูห์ พูห์ ขานรับและถามกลับว่า
มีอะไรหรือพิกเล็ต พิกเล้ตเกาะมือพุห์ไว้ก่อนตอบว่า
เปล่า ไม่มีอะไร แค่อยากมั่นใจว่าเราเดินมาด้วยกันเท่าันั้นเอง

ไม่อยากให้เธอเดินข้างหน้าเพราะเกรงว่าจะลืมฉัน
ไม่อยากตามหลังเช่นกัน กลัวไม่ทันกลัวเธอทำฉันหล่นหาย
อยากให้เราเดินเคียงกันไป อยากอุ่นใจและมั่นใจ
ว่าตลอดการเดินทางชีวิตอันยาวไกล เรายังมีกันและกันไปตลอดกาล

ไม่รู้จะชื่ออะไร



หลายวันที่ผ่านมานี้ เพื่อนเราคนนึงมักจะโทรมาหาเราบ่อยๆ พร้อมพรรณาถึงความรักที่คุดของตัวเอง
เราก็ได้แต่ฟัง และปลอบพร้อมด่า นานๆเข้าก็เปลี่ยนเป็นด่า แทนที่จะปลอบ คิดว่าถ้าเขาเข้ามาอ่านบล็อกเรา
ก็ขอมอบข้อความนี้ให้ก้แล้วกัน เพราะเราก็เคยเป็นแบบนั้นมาก่อนเหมือนกัน

เธอตายจากใจฉันไปแล้ว เธอตายได้เจ๋งมาก
ฉันนึกว่าเธอตายไปแล้วจริงๆ
ถ้าคิดจะเอาหัวใจ สมอง ความชิงชัง ไปทุ่มให้ใคร เราจะเหนื่อยเปล่า
ปล่อยให้เขาตายไปจากเราดีกว่า ยอมให้เขาตายจากเราไปดีกว่า เมื่อเราไม่ให้ค่า
เขาก็จะไไม่มีค่า มันขึ้นอยู่ที่หัวใจเรา..... เท่านั้น

ความจริงเวลาที่เราผิดหวังจากใครสักคน เวลาและใจเราเองเท่านั้นที่ช่วยเราได้
ลืมได้หรือลืมไม่ได้ มันอยู่ที่ใจเราเอง ถ้ายิ่งคิดมันก็ลืมไม่ได้ เพราะฉะนั้นต้นเหตุของปัญหาทุกอย่างมันอยู่ที่ใจเราเอง

การลืมใครสักคนมันไม่ได้ง่ายหรอก แต่สำหรับเราถ้าผิดหวังเสียใจไม่ถึงสัปดาห์ เป็นเพราะเรามักจะเผื่อใจ
สำหรับเรื่องนั้นๆไว้เสมอ ไม่เคยคิด ไม่เคยฝันเกินร้อย หรือเกินความจริง เพราะฉะนั้นเสียใจไม่เคยนาน
ถึงแม้เรื่องนั้นมันจะมีค่าสำหรับเรามากมายแค่ไหนก็ตาม รับรองว่า ลืมได้แน่นอน และอย่าไปกวนตะกอนให้มันขุ่นขึ้นมาอีก

การเผื่อใจไว้มันทำให้เราไม่เจ็บมากนักเมื่อเราผิดหวัง ทุกวันนี้ก้ยังเผื่อใจในทุกๆเรื่อง
เพราะไม่มีใครรู้ว่าพรุ่งนี้อะไรมันจะเกิด คนเจอหน้ากันดีๆพรุ่งนี้ต้องจาก รักกันดีๆพรุ่งนี้ต้องเลิก
วางแผนไว้เกิดยกเลิกกระทันหัน เห็นม่ะทุกอย่างไม่แน่นอน

สุดท้ายจะจบด้วยข้อความนี้ที่เราเตือนใจประจำ

เราคือคนสำคัญเหลือเกินของครอบครัว แต่ต้องไปเป็นคนที่ไม่ค่อยมีคุณค่า
ของใครก็ไม่รุ้ ที่เราเชื่อตลอดมาว่า เค้าสำคัญ เพื่ออะไร

สุดท้ายรักตัวเองและมารักเราดีกว่าเนอะ เพื่อนเนอะ

ปากกา



ช่วยนับหน่อยสิ ว่าปากกามีกี่ด้าม

แล้วรู้ไหมมันเกี่ยวข้องยังไงกับเรา

.

.

.

.

มันก็คือ ปากกาทั้งหมดที่เราใช้ตั้งแต่เรียนปีหนึ่งถึงปีสี่

เราเก็บไว้ทุกด้าม เพราะด้ามนึงหลายบาท แถมยังสวยๆทั้งนั้น

เราชอบใช้ปากกายี่ห้อนี่ คือ Beshall เส้นผ่านศุนย์กลางประมาณ 0.38 ซึ่งเราชอบปากกาหัวเล็กๆ

ปากกาหัวใหญ่ๆทำให้เราเขียนไม่สวย และไอ้เจ้า Beshall มันหาซื้อยากอ่ะ ตอนเรียนเราต้องนั่งรถไปซื้อ

คาร์ฟูถึงจะมี ถ้าเป็นร้านเครื่องเขียนอื่นเนี่ยน่ะ ก็มีแต่ลายซ้ำๆ เราเลยต้องไปเลือกที่คาร์ฟูนี่แหละ

ถ้าเห็นว่าน้อยอ่ะน่ะ ที่จริงปากกาที่เราวางมันซ้อนกันสามชั้นน่ะ ตรงกลางน่ะ แต่พอถ่ายมาเห็นว่าน้อย

ตอนนี้ก็นังใช้อยู่ เวลาเจอก็จะซื้อเก็บเผื่อไว้ กลัวว่าไม่มีจะใช้

Truly Madly Deeply

เป็นเพลงนึงที่เคยฟังตั้งแต่ยังแปลไม่ออกว่าเพลงนี้หมายความอย่างไร แต่ฟังๆแล้วรู้สึกว่า เพลงนี้ความหมายต้องโรแมนติกแน่เลย

แต่พอเริ่มแปลเนื้อเพลงออก จึงรู้ว่าเพลงนี้ความหมายโรแมนติกจริงด้วย ก็ประมาณว่า ฉันน่ะรักเธออย่างจริงใจ คลั่งไคล้ และลึกล้ำ โดยเฉพาะท่อนที่ว่า I love you more with every breath truly madly deeply do หว๊าน หวาน

เพลงนี้เป็นของ Savage Garden เจ้าพ่อเพลงแนวนี้เลย ประมาณว่าเพลงพวกเค้าเนี่ย โรแมนติกมาก
อีกหลายๆเพลงก็เหมือนกัน แนวเดียวกันเลย ทั้งเสียงคนร้องและดนตรี เคลิ้มได้เลยเนี่ย




Savage Garden Truly Madly Deeply Lyrics

I'll be your dream, I'll be you wish I'll be your fantasy
ฉันจะเป็นความฝัน ความปรารถนา และจินตนาการของคุณ

I'll be your hope, I'll be your love be everything that you need
ฉันจะเป็นความหวัง ฉันจะเป็นความรัก จะเป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณต้องการ

I love you more with every breath truly madly deeply do
ฉันรักคุณมากขึ้นทุกๆลมหายใจอย่างจริงใจ คลั่งไคล้และลึกล้ำ

I will be strong I will be faithful 'cause I'm counting on
ฉันจะแข็งแกร่ง ฉันจะรักษาสัจจะ เพราะว่า ฉันกำลังนับเวลาถึง

A new beginning
การเริ่มต้นครั้งใหม่

A reason for living
เหตุผลสำหรับการดำรงอยู่ต่อไป

A deeper meaning
และความหมายที่ลึกซึ้งยิ่งกว่านั้น

I want to stand with you on a mountain
ฉันอยากที่จะยืนเคียงข้างคุณบนภูเขาอันสูงใหญ่

I want to bathe with you in the sea
ฉันอยากที่จะแหวกว่ายกับคุณในท้องทะเล

I want to lay like this forever
ฉันอยากให้มันเป็นเช่นนี้ตลอดไป

Until the sky falls down on me
จนกว่าท้องฟ้าจะโรยรา

And when the stars are shining brightly in the velvet sky
และเมื่อดวงดาวส่องแสงสว่างสดใสในท้องฟ้าสีกำมะหยี่

I'll make a wish send it to heaven then make you want to cry
ฉันจะเอ่ยคำอธิษฐานแล้วส่งมันไปที่สวรรค์ และ ทำให้คุณอยากร้องไห้

The tears of joy for all the pleasure in the certainty
น้ำตาแห่งความปิติ สำหรับความสุขที่มั่นคง

That we're surrounded by the comfort and protection of
ที่อยู่รอบๆตัวเรา ด้วยความอ่อนโยนและการปกป้องจาก

The highest powers In lonely hours The tears devour you
ความรัก แม้ในชั่วเวลาที่โดดเดี่ยว และเต็มไปด้วยน้ำตา

[ Repeat ** ]
Oh can't you see it baby ?
โอ คุณเห็นมันหรือไม่ ที่รัก ?

You don't have to close your eyes
คุณไม่จำเป็นที่จะต้องหลับตาลง

'Cause it's standing right here before you
เพราะว่ามันอยู่นี้ที่ตรงหน้าของคุณ

All that you need will surely come
สิ่งทั้งหมดที่คุณต้องการนั่นจะมาถึงอย่างแน่นอน

[Repeat *, **, **]

ไงหวานไหมล่ะ..............

วันพุธที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2552

บันทึกน้ำตา 1 ลิตร



ช่วงนี้ปิดเทอม ตอนเช้าๆ เราจึงโอกาสดูซีรีย์ละครหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น CSI ซีรีย์เก่าๆที่เคยนำมาฉายทางช่อง 3 หรือ เกาหลี หรือญี่ปุ่น แต่ตอนนี้กำลังชอบเรื่อง บันทึกน้ำตาหนึ่งลิตร

ละครเรื่อง บันทึกน้ำตา 1 ลิตร ( 1 Litre of Tears ) สร้างขึ้นมาจาก ไดอารี่ 1 Litre of Tears ที่ คิโตะ อายะ เด็กผู้หญิงที่ต่อสู้กับโรคร้ายมาตลอดได้บันทึกไว้ เป็นหนังสือที่เอาไดอารี่ของเธอทั้ง 46 เล่มมาสรุปและพิมพ์จำหน่ายในชื่อ 1 Litre of Tears ที่ทำให้ทุกคนประทับใจ และจำหน่ายได้ถึง 1.2 ล้านเล่ม และหลังจากที่ละครเรื่องนี้ฉายเป็นละครแล้ว ยอดจำหน่ายได้เพิ่มขึ้นถึง 1.8 ล้านเล่ม ตอนสิ้นปี 2548

และไดอารี่ 1 Litre of Tears นี้ยังได้สรุปบันทึกที่ คิโตะ ชิโอกะ แม่ของอายะ เขียนเอาไว้ในเรื่อง "อุปสรรคของชีวิต" รวมอยู่ในไดอารี่ 1 Litre of Tears นี้ด้วย และวันที่ 23 พฤษภาคม 1988 อายะทิ้งความประทับใจเอาไว้ในโลกนี้ และเดินทางสู่สรวงสรรค์ รวมอายุได้ 25 ปี ละครเรื่อง บันทึกน้ำตา 1 ลิตร ( 1 Litre of Tears ) นี้ เป็นละครชีวิตที่ให้กำลังใจกับคนญี่ปุ่นสมัยนี้ โดยในละครเรื่องนี้ ได้แทนนามสกุลจริง คิโตะ เป็นนามสกุล อิเคอูจิ

"ฉันมีชีวิตต่อเพื่ออะไรกันนะ" นี่คือประโยคหนึ่งจาก ไดอารี่ 46 เล่มที่เด็กผู้หญิงคนหนึ่งเขียนไว้ ตลอดระเวลาที่ต่อสู้กับโรคร้ายที่ไม่มีทางรักษานี้ คิโต อายะ เกิดปี 1962 เป็นโรคที่ชื่อว่า Spinocerebellar Degeneration ซึ่งไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดในตอนอายุ 14 ปี เป็นโรคที่รักษาได้ยาก อาการของโรคจะทำให้สมองส่วนการรับรู้จะยังทำงานเป็นปกติ แต่จะค่อยๆ เสื่อมลง และควบคุมร่างกายไม่ได้ไปทีละอย่าง ซึ่งไดอารี่ทั้ง 46 เล่มนี้ ก็คือบันทึกการต่อสู้กับโรคตั้งแต่เริ่มมีอาการ จนถึงตอนที่อายะไม่สามารถควบคุมแขนของตัวเองให้เขียนได้ เสมือนเป็นเสียงตะโกนที่ร้องขอการมีชีวิตอยู่ต่อ จากส่วนลึกของหัวใจเธอ

"โรคนี้ทำไมถึงเลือกฉันนะ" นี่คืออีกประโยคหนึ่งจาก ไดอารี่ 46 เล่มที่เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ทั้งๆ ที่เป็นโรคที่รักษาไม่หาย แต่ก็ยังพยายามที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปกับโรคร้ายนั้น ทุกๆ วันที่ถูกรายล้อมไปด้วยความรักทั้งของครอบครัว คนรัก และเพื่อนๆ ที่คอยช่วยเหลือ ร้องไห้และหัวเราะด้วยกัน อยากใช้ชีวิตกันต่อไป เป็นละครชีวิตที่ให้กำลังใจกับคนญี่ปุ่นสมัยนี้

"ร้องไห้เสียน้ำตาไปหนึ่งลิตร" เป็นอีกคำพูดหนึ่งที่ คิโตะ อายะ ได้พูดกับเพื่อนร่วมชั้นมัธยมปลาย ตอนที่จะลาออกจากโรงเรียนไปอยู่ที่โรงเรียนคนพิการ เนื่องจากไม่อยากทำให้เพื่อนทุกคนในห้องต้องลำบากใจ เพราะเพื่อนๆ ในห้องส่วนใหญ่กลัวจะเรียนไม่ทัน จะสอบต่อมหาวิทยาลัยไม่ได้ เพราะอาจารย์ต้องสอนช้าลง เพื่อให้ อายะ สามารถจดตามได้ทัน เนื่องจากเมื่อ อายะ เป็นโรคนี้แล้วช่วงแรกก็ยังพอเดินได้ปกติ แต่หลังจากนั้นก็เดินได้ยากขึ้น จนในที่สุดเวลาจะเดินต้องนั่งรถเข็น และเวลาเขียนก็ไม่สามารถเขียนได้เร็วเท่าคนปกติ โดยที่จริงๆ แล้ว อายะ ไม่อยากจะไปที่โรงเรียนคนพิการ แต่อยากจะอยู่ที่โรงเรียนกับเพื่อนๆ แต่ก็ไม่อยากให้เพื่อนต้องลำบากเพราะตนเอง จึงได้ตัดสินใจลาออก โดยที่เธอได้บอกกับเพื่อนๆ ว่า กว่าเธอจะตัดสินลาออกได้ ต้องนอนร้องไห้เสียน้ำตาไปหนึ่งลิตร

โรค Spinocerebellar Degeneration คือโรคที่ยังไม่สามารถรักษาได้ อาการของโรคจะทำให้สมองส่วนการรับรู้ จะยังทำงานเป็นปกติ แต่จะค่อยๆเสื่อมลง และควบคุมร่างกายไม่ได้ไปทีละอย่าง ผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้แต่ละคนจะแตกต่างกันไป บางคนเมื่อเริ่มเป็นโรคนี้อาการจะค่อยๆ เป็นหนักขึ้นอย่างช้าๆ แต่สำหรับบางคนอาการของโรคทรุดหนักลงอย่างรวดเร็ว โดยเริ่มทำให้ขาเดินได้ลำบาก จนต่อมาจะเดินไม่ได้แขนและมือที่เคยจับเขียนได้ ก็จะค่อยๆ จับและเขียนลำบาก จนสุดท้ายก็จะเขียนไม่ได้ การรับประทานอาหารก็จะลำบากขึ้นและจะสำลักบ่อยครั้ง บางคนอาจถึงตายได้เนื่องจากอาหารติดคอ ผู้ป่วยจะต้องมีคนดูแลอย่างใกล้ชิดอยู่เสมอ เพราะยิ่งอาการหนักขึ้นเท่าไหร่ ก็ไม่สามารถทำอะไรได้เองมากขึ้นเท่านั้น เป็นโรคที่ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดว่าเกิดจากอะไร และยังไม่สามารถรักษาจนถึงปัจจุบัน ทำได้เพียงพยายามชลอให้อาการทรุดหนักช้าลงเท่านั้น

ฉันดูเรื่องนี้แอบน้ำตาคลอ สิ่งหนึ่งที่ได้จากเรื่องนี้ คือ ฉันต้องขอบคุณอัลลอฮที่ไม่ได้ให้โรคนี้เกิดกับตัวฉันและครอบครัว และขอให้โรคนี้ห่างไกลจากตัวฉันและครอบครัว ( คำพูดของน้องฉันค่ะ เวลาที่ดูมักจะพึมพำคำนี้ตลอด ) อีกอย่างคือ กำลังใจจากครอบครัวสำคัญที่สุดสำหรับคนที่ป่วย การดูแลเอาใจใส่คนป่วยจะทำให้กำลังใจของครอบครัวดีขึ้นมาก กำลังกายไม่สำคัญเท่ากำลังใจ สิ่งที่เรายกย่องคือ ครอบครัวนี้ไม่ทิ้งและพยามยามทำทุกอย่างให้อายะมีความสุข ซึ่งเราเองก็ไม่คิดเลยว่าถ้าคนในครอบครัวเราเกิดเป็นแบบนี้ขึ้นมา จะเอาใจใส่ดูแลได้ดีขนาดไหน


วันอังคารที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2552

เพื่อนสนิท ( เขาไม่ได้คิดอะไรกับตัวเองเลยน้า )

ผู้แสดง ..... ฟีน และ เฟน

ผู้กำกับ .... dream deenee

ผู้ควบคุม ..... meyoung

ศิลปิน ........ ดา เอนโดรฟิน





เพื่อนคนนึง แอบรักเธอ ปิดปังความรักนั้นอยู่ภายใน




ก็ไม่เคยเปิดเผยใจ ด้วยกลัวต้องเสียใจ กลัวเสียเธอ





ปิดบังอยู่ตั้งนาน จนมันอัดอั้นใจ ยิ่งเราใกล้ชิดกัน ยิ่งหวั่นไหว จะสบตา กลับหลบตาเธออยู่เรื่อยไป






ห่างแค่เพียงเอื้อมมือแต่มันคือแสนไกล ยิ่งเธอเป็นเหมือนเพื่อนสนิท ยิ่งไม่มีสิทธิ์จะบอกไป








ห่างแค่เพียงเอื้อมมือ แต่มันคือแสนไกล ยิ่งเธอเป็นเหมือนเพื่อนสนิท ยิ่งไม่มีสิทธิ์จะบอกไป ว่ารักเธอ







หากเป็นใครไม่ใช่เธอ สักวันอาจได้รู้ถ้าบอกไป แต่เป็นเธอที่คุ้นเคย ก็เลยต้องยับยั้งต้องชั่งใจ






จบแว้ว วววววววววววววววววววว



เบื้อหลังการถ่ายทำ




วันจันทร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2552

มอเตอร์ไซด์ ฮ่าง



วันนี้ อยากเข้าเมืองไปหลิ่วตาตาม
แต่ปัญหามีอยู่ว่า รถที่เราใช้ประจำเอาไปเข้าอู่นี่ เจ้าลูพ่อก็เอาไปใช้ อีกคันพี่ก็เอาไป ทำงายล่ะ
อยากไปเที่ยวนี่ ฮึๆๆๆ ไม่ใช่ปัญหา ติดรถพ่อไป แต่เวลาจะไปเที่ยวในเมืองอ่ะ ทำไงล่ะ ไม่มีรถ
ถามพ่อว่า ที่ธนาคารอาเยาะอ่ะ มีมอไซด์ให้ยืมป่ะ ไม่อยากขึ้นตุ๊กๆเด่วเสียหลายบาท เปลืองตังค์
พ่อบอกมีดิ ไปเด่วไปเอาให้ เราก็ดีใจ 555555 มีรถขี่แล้ว

ระหว่างทางนั่งไปกับพ่อ มอไซด์เบรกกะทันหัน พ่อเหยียบร้อยกว่า เบรคเอี็ยดดดดดดด เราก็พลอยตกใจไปด้วย พ่อบอกว่า ไม่ต้องกลัวหรอก เบรค ABS กลัวแต่ด้านหลังมาชนตูดเท่านั้นแหละ

พอไปถึงในเมือง พ่อก็ไปเอารถมาให้ เราก็เดินตามไป และแล้ว ................ มอไซด์ที่เราได้คือ ยามาฮ่า RC jet cooled สีน้ำตาล 5555555555555 โหย เก๋ามากเลย แค่สตาร์ตก็กินขาดแล้ว เสียงเนี่ยเหมือนรถแข่งเลยอ่ะ
ขับออกมาจากโกดังที่เก็บรถของธนาคาร เท่ห์มากเลย ผู้หญิงสวยๆ แต่งตัวดีๆ ถือกระเป๋าหรู กับมอไซด์ RC โอยไม่อยากบรรยายเลย น้องที่ไปด้วยหัวเราะแล้วบอกว่า กำลังจะบอกเลยว่า ให้เอา RC ไม่เอารถเวฟ
ดีน่ะที่อาเยาะให้ RC รถคันนี้ทำให้ผู้ชายหลายๆคน หันมาบอก แถมยังส่งยิ้มให้อีก อาจเป็นเพราะว่า เสียงรถที่ดัง และตัวดิฉันเอง ที่สวยแต่มานั่งรถ RC ให้เขาได้ขำกัน ไม่ถือค่ะ สบายๆ เท่ห์ซะอีก ไม่สนด้วยใครจะทำไม เขาคงคิดว่าผู้หญิงเดี๋ยวนี้ต้องนั่ง คลิก หรือไม่ก็ ฟีโน่ เท่านั้น 655555555

ไปๆมาๆน้องชักเสียวกับการขับของเรา เพราะเราชินกับขับรถมากกว่าถ้าเป็นในเมือง เลยเปลี่ยนมือคนขับ
ตอนไปละหมาดที่ มอ ขาออกต้องคืนบัตรให้ยาม แต่เราควักกระเป๋าช้า เลยติดแง็กตรงนั้น เร่งนำ้มันไม่ขึ้น
ยามก็หัวเราะ บอกว่าถอดเกียร์สิน้อง 55555555

สนุกดีค่ะ ขี่รถแบบนี้เท่ห์ไปอีกแบบบ คราวหน้าเอาอีก จะเอารถไปแล้วไปจอดทิ้งที่ธนาคาร เอามอไซด์ไปแทน 55555555555555

เคยถามเพื่อนที่เป็นชาวอีสานว่า ฮ่าง แปลว่าอะไร แปลว่า เก่าค่ะ

วันศุกร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2552

เพราะร่มแท้ๆ



สมัยที่เรียนอยู่ปี 3 มีประสบการณ์อันน่าขำเกี่ยวกับร่ม ร่มที่เราใช้กางนี่แหละ ตอนที่เรียนนั้นเราเป็นคนที่ขาดร่มไม่ได้ ไปเรียน 8 โมงออกจากหอปุ๊บ กางร่มปั้บ แต่เวลาขึ้นสะพานลอย หรือข้ามถนนมักจะปิดร่มก่อน กางร่มในมหาลัยถือเป็นเรื่องปกติมากสำหรับทุกคน เพราะทุกคนจะมีร่มส่วนตัวทั้งนั้นรวมทั้งเราด้วย


ร่มที่ใช้ก็เป็นร่มของมหาลัยซื้อมาราคา 160 บาท ถือว่าแพงน่ะ แต่อยากได้โลโก้มหาลัยติดบนร่มนี่เลยต้องซื้อ เรื่องที่เกิดขึ้นมันมีอยู่ว่า




เมื่อตอนเปลี่ยนคาบเรียน เราเปลี่ยนตึกเรียนจากตึกคณะศึกษาฯ ไปตึกคณะวิทย์ ระยะทางก็ไม่ไกลมาก เดินแค่ 5 นาทีก็ถึง บวกกับรอลิฟท์ 5 นาที ก็พอดีถึงเวลาเรียน แต่วันนั้นเราก็เดินกับเจ๊เพื่อนสนิทเรานี่แหละแต่บังเอิญว่า มีเพื่อนคนนึงใจดีรับเราสองคนขึ้นรถมอไซด์ไปด้วย เราก็เออได้อ่ะ ขี้เกียจเดิน เราก็ให้เจ๊ขึ้นก่อนเราก็ปิดท้าย ซ้อนสาม เราขี้เกียจปิดร่มอ่ะ เลยขึ้นนั่งแบบผู้หญิงแล้วกางร่ม เพื่อนถามเราว่า ไอ้ยังแกไม่ปิดร่มหรอ เราบอกว่า ไม่เป็นไรน่าแป๊บเดียวเอง แล้วมอไซด์ก็วิ่งไป ความเร็วประมาณ 40 มั้ง แต่วันนั้นเรารู้สึกลมแรงมาก มอไซด์วิ่งสู้ลม เราถือร่ม ก็รู้สึกว่า เฮ้ย ร่มกำลังจะปลิวก็พยายามจับแน่น ไม่อยากให้ร่มหลุดมือ จับได้แปบนึงรู้สึกว่าร่มจะหลุดก็พยายามจับไว้ สุดท้ายตัวเองก็ลอยไปพร้อมร่มออกจากเบาะมอไซด์ ลอยไปตกกลางถนน โดยที่เราเอาหัวกระแทกพิ้นเต็มๆ เหตุการณ์มันเกิดเร็วมาก จำได้แต่ว่าร่มลากเราไป เราก็ลอย แล้วไปตกแหมะกลางถนน




ความรู้สึกแรก มึนหัวมาก เพราะหัวลงไปเต็มๆก่อนตัวซะอีก มีผู้ชายที่เดินแถวนั้นวิ่งมาจะช่วยเราลุกขึ้นเดินแต่ด้วยความที่เรามึนๆเลยยืนมึนๆ เพื่อนที่นั่งมาหยุดรถแล้วมองค้าง อึ้ง แล้วบอกว่า แกจะเฉยทำไมไอ้ยังตกมอไซด์ไปช่วยดิ แล้วเพื่อนก็จอดมอไซด์วิ่งมาประคองเรา ถามว่าเป็นไงบ้าง เราตอบว่า เจ็บหัวอ่ะ ทีนี้เราคลำหัวเรา โหหหห หัวโนเท่าลูกส้มเลย เท่านั้นแหละ เราร้องให้ไม่อายเพื่อนเลย พูดแต่ว่า เจ็บๆๆๆๆๆ


เพื่อนก็หน้าซีดเพราะโดนหัวเต็มๆ รีบพาไปห้องพยาบาล บอกอาการให้เจ้าหน้าที่รู้ เขาจับหัวดูบอกว่า โหหห หัวโนมากเลย ไปๆๆๆไปนอนซะเด่วจะปฐมพยาบาลให้ ระหว่างที่เอานำแข็งมาประคบ เขาก็ถามเราต่างๆนาๆ ว่า หนูอยู่ที่ไหน หอพักหนูอยู่ซอยอะไร ในห้องมีอะไรบ้าง หนูเรียนคณะอะไร ก็ตอบๆไป ไม่ทันนึกว่าเขากำลังทดสอบความจำเราอยู่ สุดท้ายเขาก็บอกว่า อืมไม่มีอะไรความจำยังดี แล้วเราก็จรลีไปที่โรงพยาบาลเพื่อตรวจหัวที่โนอีกครั้ง จำได้ว่า หวีผมไม่ได้เลย นอนตะแคงไม่ได้เลย ตั้งหลายสับดาห์น่ะกว่าจะยุบ โทรบอกที่บ้าน เขาก็มากันทั้งบ้าน ทั้งๆที่เรายังหัวเราะเลยหลังจากเกิดเหตุการณ์ ยาที่หมอให้ไม่กล้ากิน เพราะกินแล้วจะง่วง กลัวอ่านหนังสือไม่ได้ เพราะใกล้สอบ ผลก็คือ หัวที่โนนั้นยุบลงไม่หมดถึงตอนนี้ก็ยังมีปุ่มแข็งๆอยู่บนหัวอีก เวลาจับแล้วกดก็จะรู้สึกเจ็บอยู่




เรื่องสอนให้รู้ว่าอย่ากางร่มเวลาขึ้นมอไซด์เพราะอาจเกิดแบบเราก็ได้ หลังจากนั้นเราก็เข็ดขึ้นมอไซด์ เวลาฝนตกยอมเปียกมากกว่ากางร่ม 555555


วันพฤหัสบดีที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2552

เกมส์ทำอาหาร

ตอนนี้บ้าเกมส์ทำอาหารอยู่ค่ะ เป็นเกมส์ที่เป็นเมนูต่างๆมาให้ ให้เราหยิบส่วนผสมต่างๆมาใส่ตามที่เขาบอก
ต่อจากนั้นก็จะเป็นเมนูตามที่ต้องการ ถือว่าเป็นเกมส์ฝึกทำอาหารอย่างหนึ่ง แต่ส่วนมากเมนูจะเป็นอาหารฝรั่งซะมากกว่า ลองเล่นดูน่ะ

เกมส์ทำขนมเค้กคัพ http://www.j-doramanga.com/playgame.php?id=1327

เกมส์ทำคุกกี้ http://www.j-doramanga.com/playgame.php?id=1321

เกมส์ทำไก่งวง http://www.j-doramanga.com/playgame.php?id=1295

เกมส์ทำไข่ http://www.j-doramanga.com/playgame.php?id=1404



เกมส์ทำช็อคโกแลต http://www.j-doramanga.com/playgame.php?id=1411


เกมส์ทำซูชิ http://www.j-doramanga.com/playgame.php?id=1351

เกมส์ทำปลาแซลมอลราดซอส http://www.j-doramanga.com/playgame.php?id=1263

แค่นี้ก่อนล่ะกัน เกมส์นี้บางเมนุสามารถนำไปทำได้จริงๆ ถือว่าเกมส์นี้เป็นเกมส์ที่สอนทำอาหารอย่างแท้จริง
คำเตือน ผู้ชาย และ คนที่ไม่พิศมัยในการทำอาหาร ห้ามเล่นเด็ดขาดค่ะ

สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า

เมื่อวานเรามีโอกาสไปหาดใหญ่ เดินห้าง ไปเจอกับแผ่นโปสเตอร์อันเบ้อเร้อหน้าร้านซีดีแห่งหนึ่ง
เป็นโฆษณาเกี่ยวสารคดีของเนชั่นแนลจีโอกราพฟิค ซึ่งทำเรื่องนี้เป็นตอนๆ ดูรูปแล้วน่ากลัวจังและน่าสนใจเกี่ยวกับ แผ่นโฆษณาแห่งนี้ เลยลองเข้าไปดู ซึ่งมันก้คือดีวีดี เรื่องสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า ซึ่งเราเคยได้ยินบ่อยๆแต่ไม่สนใจเท่าไหร่ พอดุภาพโปสเตอร์ก็เลยสนใจขึ้นมา เลยเอาเขียนในบล้อกเผื่อใครสนใจอยากลองไปหาดูบ้าง ก่อนดูก็ต้องรู้จักกันก่อนว่า มันคืออะไร



เรือเดินทะเลที่หายสาบสูญไปในสามเหลี่ยมเบอร์มิวดานั้น ส่วนมากจะเกิดขึ้นในบริเวณที่เรียกว่า "ทะเลซากัสโซ" และ สาเหตุที่ท้องมหาสมุทรแห่งนี้มีนามว่าทะเลซากัสโซ ก็เพราะอาณาเขตบริเวณแห่งนี้อุดมสมบูรณ์ไปด้วย สาหร่ายทะเลชนิดหนึ่งซึ่งมีชื่อว่า สาหร่ายซากัสซั่ม โดยสาหร่ายชนิดนี้เป็นอุปสรรคต่อการเดินเรืออย่างยิ่ง และเหตุ เหตุการณ์ประหลาดลึกลับทางทะเลต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่โบราณกาล มักจะมีต้นตอมาจาก ทะเลซากัสโซเสียเป็นส่วนมาก ชาวฟีนีเชียนโบราณที่เคยใช้เรือเดินทางผ่านท้องทะเลมหาภัยแห่งนี้มา ตั้งแต่หลายพันปีก่อน ได้บันทึกปรากฏการณ์ประหลาดต่าง ๆ ไว้เป็นจำนวนมาก
ท้องทะลซากัสโซ่ มีอาณาเขตบริเวณกว้างใหญ่อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของมหาสมุทรแอ๊ตแลนติค บริเวณแห่งนี้จะเต็มไปด้วย สาหร่ายทะเลลอยฟ่องเต็มไปหมด - เมื่อตอนที่โคลัมบัสแล่นเรือผ่านท้องทะเลแห่งนี้เป็นครั้งแรก กลาสีเรือต่างตื่นเต้นที่คิดว่าเรือคงแล่นเข้าใกล้ฝั่งแห่งใดแห่งหนึ่งเข้าไปแล้ว แต่แม้จะแล่นเรือต่อไปอีกนาน อาณาเขตของ สาหร่ายแห่งนี้ก็หาหมดลงไปไม่ อีกอย่างหนึ่งที่เป็นสัญลักษณ์ประจำของทะเลซากัสโซ คือ ภูเขาทะเลดย ภูเขาทะเลก็คือภูเขาที่อยู่ใต้พื้นน้ำ แต่มีส่วนยอดแบนราบโผล่ขึ้นมาเหนือพื้นน้ำเล็กน้อย มองดูคล้ายเกาะ แต่ไม่มีพืชพันธใดๆ นอกจากตระใคร่น้ำเกาะอยู่เท่านั้นทะเลซากัสโซไม่เพียงแต่เป็นท้องทะเลที่เต็มไปด้วยสาหร่ายยากแก่การเดินเรือ เท่านั้น แต่กิตติศัพย์ในความน่าสะพรึงกลัวของมันได้ถูกกล่าวขานกันอยู่เสมอ บ้างก็ให้เชื่อว่าเป็นทะเลแห่งความหายนะ หรือสุสานของเรือเดินสมุทรบ้างก็ว่าเป็นที่สิงสถิตของภูติผีปีศาจทะเล หรือสัตว์ร้ายดึกดำบรรพ์ เรื่องราวต่าง ๆ ที่พวกชาวเรือชอบนำมาเล่าสู่กันฟังเกี่ยวกับท้องทะเลจำนวนนับไม่ถ้วนก็คือ เรือจะถูกยึดนิ่งสงบรวมอยู่ในใจกลางของทะเลซากัสโซ่ ตั้งแต่สมัยการการเดินทางโดยทะเลของพวกฟินีเชียน ไวกิ้ง โรมัน หรือแม้แต่เรือต่าง ๆ ในสมัยกลางของยุโรป พวกเหล่านี้เชื่อว่าเรือเหล่านี้ลอยกองรวมกันพร้อมด้วยสมบัติมหาศาลที่ บรรทุกอยู่เหตุที่ไม่จมเพราะมีสาหร่ายจำนวนหนาแน่นรองรับอยู่ข้างใต้ มนุษย์ผู้พบท้องทะเลแห่งนี้เป็นพวกแรกเข้าใจว่าจะต้องเป็น พวกฟินีเชียนและพวกคาร์ธายิเนียนโบราณ ก็เพราะเป็นเวลา หลายพันปีแล้วที่พวกนี้เดินทางข้ามมหาสมุทรแอ๊ตแลนติคสู่อเมริกาหลักฐานที่ปรากฏคือ รอยแกะสลักบนแผ่นหินของพวกฟินีเชียน ที่พบอยู่ในประเทศบราซิลขณะนี้ และศิลาจารึกในสุสานฝังศพของ พวกคาร์ธายิเนียน เมื่อราว 500 ปี ก่อนคริศศักราชระบุว่า

เหนือท้องทะเลแห่งนี้มีแต่ความอ้างว้างเงียบเหงา คล้ายกับสุสานใหญ่ที่มองจรดขอบฟ้าไปทุกด้าน ไม่มีแรงลม พอที่จะพัดพาเรือให้แล่นไปได้ ใต้พื้นน้ำเต็มไปด้วย
สาหร่ายทะเลอย่างหนาทึบ ซึ่งยึดเรือทั้งหลายให้หยุดนิ่งอย่างกับกำลังมหาศาลของหนวดปลาหมึกยักษ์ ท้องทะเลบางแห่งก็ตื้นเขินซึ่งเป็นที่อาศัยของสัตว์ประหลาด
มหึมาหลายสิบชนิด และบางครั้งมันก็ว่ายน้ำ เข้ามาทำลายเรือ
ทั้งลำให้กลายเป็นผุยผงไปในพริบต

ความลี้ลับของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา

สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเป็นอาณาบริเวณส่วนหนึ่งของมหาสมุทรแอ็ตแลนติคภาคตะวันตก พื้นที่ทั้งหมดเริ่มจาก ตอนหนือของเบอร์มิวดาไปถึงตอนใต้ของรัฐฟลอริดา-และจากฟลอริดามุ่งตรงไปทางตะวันออกทำมุมสี่สิบองศากับเส้นรุ้ง ผ่านบาฮามัสและเปอร์โตริโก จากนั้นก็ย้อนเฉียงกลับไปสู่ทางใต้ตอนเหนือของเบอร์มิวดาอีกซึ่งทำให้อาณาบริเวณแห่งนี้ กลายเป็นรูปสามเหลี่ยม และอาณาบริเวณรูปสามเหลี่ยมแห่งนี้เองที่เป็นแหล่งกำเนิด ปรากฏการณ์ อันลี้ลับ มหัศจรรย์ขึ้น ในยุคอวกาศของชาวเรา ในปัจจุบันเป็นสิ่งลึกลับและเหลือเชื่อหากจะบอกท่านว่า เริ่มตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ในปี ค.ศ. 1945 มาจนถึงปัจจุบัน เครื่องบินจำนวนกว่า 100 เครื่อง และเรือเดินสมุทร จำนวนอีกมากหลายได้ หายไปในบรรยากาศ และพื้นทะเลของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาแห่งนี้โดยไม่มีร่องรอย ชีวิตมนุษย์จำนวนพัน ในระยะเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมา ได้หายไปพร้อมกับ พาหนะโดยไม่มีซากศพ แม้แต่รายเดียว หรือเศษชิ้นส่วนใดๆของเรือ หรือเครื่องบินที่หายไปเหลือให้เห็น การหายสาบสูญของเรือ เครื่องบิน และชีวิตมนุษย์ ในบริเวณดินแดนสามเหลี่ยม เบอร์มิวดายังคงปรากฏอยู่ต่อไป และมีปริมาณเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่ชาติต่างๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสูญเสียเหล่านี้ ต่างก็พยายามดำเนินการค้นคว้า ก็หาสาเหตุแห่งปรากฏการณ์อันประหลาดและลึกลับนี้อย่างเร่งด่วน แต่ก็ไม่มีใคร สามารถบอกสาเหตุ และหาทางป้องกัน จากภัยที่เกิดขึ้นในบริเวณท้องทะเลแห่งนี้ได้ไม่

เครื่องบินที่หายไปเหนือพื้นทะเลแห่งนี้ ส่วนมากก่อนที่จะหายการติดต่อกับฐานปฏิบัติการณ์ หรือสถานีปลายทางเป็นไปอย่างปกติ และสภาพของบรรยากาศ และทัศนะวิสัย ก็สงบ และแจ่มใสดี ไม่มีวี่แววของพายุร้ายใดๆ แต่แล้ว เมื่อถึงบทจะหายเครื่องบินเหล่านั้นก็จะหายไปอย่างฉับพลันโดยไม่มีร่องรอย ซึ่งนักบินก็ไม่มีโอกาสที่จะแจ้งข่าว-ทาง วิทยุให้หน่วยควบคุม การบินทราบได้ แต่ก็มีเป็นจำนวนมากเหมือนกัน ก่อนที่เครื่องบินจะหายสาบสูญ นักบินมีเวลาพอที่จะแจ้งข่าวผิดปกติมายังฐานปฏิบัติการได้ ซึ่งทุก
รายต่างก็แจ้งตรงกันทั้งหมดว่า
ไม่สามารถควบคุมกลไกต่างๆ ให้ดำเนินไปตามปกติได้ เข็มทิศประจำเครื่องจะหมุนปั่นไม่สามารถบอกทิศทางได้ ท้องฟ้าจะกลายเป็นสีเหลือง และมองดูคล้ายหมอกหนาทีบ ทั้งๆ ที่เป็นวันที่บรรยากาศแจ่มใส และแดดส่องจ้ามาก่อน และท้องทะเลซึ่งเงียบสงบ กลับปั่นป่วน ขึ้นมาโดยไม่อาจจะทราบสาเหตุได้

อุบัติการณ์ ลึกลับที่ไม่อาจให้คำอธิบายได้ เกี่ยวกับการสาบสูญของเรือเดินสมุทร และ เครื่องบินเป็นจำนวนมาก ในดินแดนแห่งสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาก็ยังคงเกิดขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ได้ขาด จนกระทั่งในปัจจุบัน ทุกครั้งที่ได้รับรายงานการสูญหาย หน่วยยามฝั่งที่เจ็ด ของกองทัพเรือสหรัฐ จะทำการค้นหาร่องรอยอย่างละเอียดละออ แต่ก็ประสบความ ล้มเหลวที่จะพบพยานหลักฐานซึ่งจะนำไปสู่การไขปัญหาลึกลับนี้ได้ทุกครั้ง และในที่สุดกองทัพเรือสหรัฐก็ได้เก็บเรื่องเหล่านี ้ไว้เป็นความลับ ไม่ยอมเปิดเผยหรือให้คำวิจารณ์ใดๆ แก่ประชาชน ที่อยากรู้อยากเห็นว่า อุบัติการณ์ ลึกลับเหล่านั้น เกี่ยวข้องกับความอาถรรพ์ของดินแดนแห่งสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาหรือไม่ แต่ทั้งๆ ที่กองทัพเรือสหรัฐพยา-
ยามจะปกปิด เรื่อราวเหล่านี้ไว้ ประชาชนทั่วไปก็เริ่มรู้ระแคะระคาย ต่างๆ และเชื่อว่า จะต้องมีแรงอาถรรพ์ หรือพลังอำนาจอันลึกลับ อย่างหนึ่งอย่างใด ภายในบริเวณ สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาอย่างแน่นอน และยิ่งปรากฏว่าเมื่อเร็วๆนี้ได้มีข่าวรายงานว่ามีนักบิน และนักเดินเรือบางคนได้รอดชีวิตมาจากปรากฏการณ์สยองขวัญ ในดินแดนของสาม -

เหลี่ยมเบอร์มิวดา จึงทำให้ เกิดการฮือฮากันใหญ่ในขณะนี้
แต่อย่างไรก็ดีจวบจนกระทั่งบัดนี้หาได้มีผู้ใดที่สามารถให้คำอธิบายแจ่มชัด เกี่ยวแก่ความลึกลับ และความอาถรรพ์ของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาได้ และการสาบสูญ ก็ยังคงปรากฏอยู่ต่อไป โดยไม่มีทางป้องกันหรือขัดขวางได้

วิเคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้นด้วยหลักการ

ในบางกรณี หากวิเคราะห์ด้วยเหตุผลเกี่ยวกับการหาบสาบสูญของเรือเดินสมุทรและเครื่องบินในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา จะพบว่าหาเป็นเรื่องประหลาดลึกลับแต่อย่างใดไม่เพราะเครื่องบินแต่ละลำ เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับความกว้างใหญ่สุดคณานับของพื้นมหาสมุทรโลกแล้ว ก็เปรียบเสมือนฝุ่นละอองที่ล่องลอย อยู่ในห้องโถงใหญ่ น้ำในมหาสมุทรก็ไม่ได้หยุดนิ่งอยู่กับที่ แต่มีการเคลื่อนไหว กระแสน้ำอุ่นกัลฟ์สตรีม มีอัตราความเร็วกว่าสี่ไมล์ต่อชั่วโมง

ในท้องทะเลนอกฝั่งบาฮามัสมีสิ่งแปลกประหลาดอยู่สิ่งหนึ่งที่นักประดาน้ำ มักจะพบเห็นอยู่บ่อย ๆซึ่งพวกเขาเรียกว่า "ปล่องน้ำเงิน" จะปรากฏอยู่ตามหุบผาใต้น้ำและ -
แหล่งหินประการัง มีลักษณะเป็นอุโมงค์หรือปล่องใต้ทะเล โดยทั่วไปเป็นที่อยู่ของปลาที่ไม่ค่อยได้พบกันที่ผิวน้ำ ปล่องเหล่านี้เชื่อว่า เกิดจากถ้ำหินประการังถูกกัดกร่อนด้วย -
กระแสน้ำใต้ทะเลมาเป็นเวลานับหมื่นปี เคยมีนักประดาน้ำดำลงไป สำรวจปล่องต่างๆ นี้ พบว่าปล่องจำนวนมากต่างมีทางแยกออกไปในหลายทิศทาง ทำให้ปลาที่ว่ายวนอยู่ในนั้นเกิดสับสนถึงกับว่ายเอาครีบท้องขึ้นสู่เบื้องบน ยิ่งกว่านั้นยังพบว่ากระแสน้ำไหลเชี่ยวแรงเข้าสู่ส่วนลึกคล้ายถูกดูดด้วยกำลังอันมหาศาลซึ่งเป็นอันตราย ต่อนักประดาน้ำมาก และลักษณะการณ์เช่นนี้ทำให้น้ำบริเวณปากปล่องไหลวนเข้าไปภายในอย่างรวดเร็ว ก่อให้เกิดการหมุนเป็นกรวยเหนือพื้นน้ำในลักษณะของวังน้ำวน ซึ่งสามารถจะดึงดูดเรือเล็กพร้อมด้วยคนบนเรือ ลงสู่ก้นอย่างรวดเร็ว

อีกทฤษฏีหนึ่ง เป็นทฤษฏีเกี่ยวกับลมพายุทอนาโดซึ่งเกิดเป็นครั้งคราว จะกวาดเรือและเครื่องบิน ให้จมลงสู่ก้นมหาสมุทรได้ไม่ยาก พายุทอร์นาโดเป็นพายุหมุนปั่นเอาน้ำทะเลหมุนเป็นเกลียวสูงนับร้อยๆ ฟุตกลางอากาศและหากมันเกิดตอนกลางคืน เครื่องบินที่บินอยู่ระดับต่ำอาจถูกกระแทกตกลงสู่ทะเลได้ ก็เพราะนักบินไม่สามารถจะมองเห็นได้ในระยะไกล ส่วนเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ที่จมหายนั้น เชื่อว่าอาจจะเกิดจากกระแสคลื่นมหึมา ที่เป็นผลมาจากแผ่นดินไหวใต้ทะเลก็ได้ เพราะคลื่นที่เกิดจากปรากฏการณ์เช่นนี้จะมีความสูงร่วมร้อยฟุตเลยที่เดียว

ปรากฏารณ์อย่างหนึ่งที่อาจเป็นอันตรายต่อเครื่องบินได้ คือ รผันแปรของอากาศอย่างทันทีทันใด ที่เรียกกันว่า "แค๊ท (Cat - clear air turbulenec)" โดยทั่วไปแล้ว "แค๊ท" จะเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่อาจจะคาดคะเน หรือทำการพยากรณ์ได้เช่นเดียวกับลักษณะภูมิอากาศ โดยทั่วไปมันจะเกิดขึ้นได้ทุกเวลาและทุกสภาวะอากาศ สาเหตุของปรากฏการณ์นี้ยังไม่ทราบกันแน่ชัด แต่เชื่อกันว่าหากมันเกิดขึ้นขณะที่กระแสลมพัดแรงและรวดเร็ว จะทำให้เกิดสูญญากาศบริเวณนั้นทันที ซึ่งหากเครื่องบินได้บินเข้าสู่บริเวณของมันก็อาจจะตกดิ่งสู่ทะเลได้ง่าย แต่อย่างไรก็ดี การผันแปรวิปริตของบรรยากาศทันทีทันใดในลักษณะเช่นนี้นั้น จะต้องไม่ใช่สาเหตุการหายสาบสูญ ของเครื่องบินทุกลำใน-บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเป็นแน่ เพราะปรากฏการณ์ "แค๊ท" จะไม่เป็นผลต่อการทำงานของเครื่องวัดต่างๆ และระบบการติดต่อทางวิทยุบนเครื่องบน แต่ทุกครั้งที่เกิดเหตุ จะปรากฏว่าการติดต่อทางวิทยุได้เงียบหายไป

การแปรผันของสนามแม่เหล็กโลก ก็อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เครื่องบินตกได้เช่นเดียวกัน เพราะมันจะทำให้เกิดการผิดพลาดในการทำงานของเครื่องวัดระดับ และเข็มทิศประจำเครื่อง ในกรณีเช่นนี้นักบินไม่มีความสามารถพอก็อาจจะนำเครื่องบินดิ่งลงสู่มหาสมุทรได้ ยิ่งกว่านั้นปรากฏการณ์ต่างๆ ทางธรรมชาติอีกมากมายที่เราไม่อาจจะอธิบาย-หรือทราบสาเหตุของมันได้


นำข้อมูลมาจาก http://www.geocities.com/p_knun




วันอังคารที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2552

โลกแห่งความสวยงาม

หลีกลี้เรื่อง ความแตกแยกในบ้านเมือง เสื้อแดง เสื้อเหลือง ไปสนใจเรื่องสถานที่เที่ยวต่างๆดีกว่า
หนังสือ Lovely planet ได้จัดอันดับสถานที่ท่องเที่ยวโลกในด้านต่างๆ เอาไว้น่าสนใจมาก

มาดูกันเลย

เมืองที่มีวิวทิวทัศน์ช่วงชั่วโมงเร่งรีบสวยงามที่สุด

สถานีรถไฟแกรนด์เซ็นทรัลเทอร์มินัล ที่นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา
เรือเฟอร์รี่ข้ามท่าที่ซิดนีย์ฮาร์เบอร์ ของออสเตรเลีย
เวสป้าโรม อิตาลี
เวนิส อิตาลี
เรือด่วนเจ้าพระยาข้ามฟากของไทย ว้าว ติดด้วย
สตาร์เฟอร์รี่ ฮ่องกง
รถไฟใต้ดินที่โตเกียว ญี่ปุ่น
รถลากที่โอลด์เดลลี อินเดีย
ลอนดอนบริดจ์ อังกฤษ


เมืองที่ไม่คิดว่าน่าจะใช่เมืองหลวง เราคิดว่าเป็นเมืองหลวงแต่ไม่ใช่

นิวยอร์ก สหรัฐอมเริกา เป็นศูนย์กลางวัฒนธรรมและการเงินของประเทศ แต่เมืองหลวงคือ วอชิงตัน ดีซี
ริโอเดอจาเนโร บราซิล เมืองเที่ยวที่ใหญ่โต เมืองหลวงคือ บราซิเลีย
ซิดนีย์ ออสเตรเลีย เมืองหลวงคือ แคนเบอร์รา ( เคยมีคนรู้จักจบจากที่นี่ด้วยล่ะ)
อิสตันบูล ตุรกี แต่เมืองหลวงคือ อังการา
โอคแลนด์ นิวซีแลนด์ แต่เมืองหลวงคือ เวลลิงตัน (เคยมีนักเรียนแลกเปลี่ยนมาจากที่นี่ด้วยล่ะ)
เคปทาวน์ แอฟริกาใต้ เมืองหลวงคือ พริทอเรีย
โตรอนโต แคนาดา เมืองหลวงคือ ออตตาวา
มุมไบ อินเดีย เมืองหลวงคือ นิวเดลี

แคนเบอร์รา

เมืองบาปของโลก

ความโลภ ลาสเวกัส บ่อนกาสิโน
ความโกรธํเคือง มิลเน อิตาลี แฟนบอลที่นี่จะอารมณ์รุนแรง
ความอิจฉา โตเกียว ญี่ปุ่น เมืองที่มีของแพงเป็นอันดับต้นๆ
ความขี้เกียจ หมู่เกาะคาริบเบียน เมืองที่ปล่อยเวลาให้ไหลไปเรื่อยๆสบายๆ
ความใคร่ อัมสเตอร์ดัม มีเซ็กซ์ช็อบและการขายบริการทางเพศ
ความภูมิใจ ลอสแองเจลิส เมืองที่ผู้คนทำพลาสติกบนใบหน้ามากกว่าจำนวนต้นปาล์ม
เมืองที่ผู้คนชอบถูกมอง เบเวอร์รี่ฮิลล์ และ ฮอลลีวูด เพราะอยู่ใกล้ดารา
ความบริสุทธิ์ อยู่ที่ วาติกัน โรม เพราะเต็มไปด้วยโบสถ์
ลาสเวกัส

สถานที่มีความสุขสุดๆ

ภูฎาน ไม่ได้ดูแค่ จีดีพี แต่ดูดัชนีความสุข ด้วยห้ามมียาสูบและถุงพลาสติก
มอนทรีออล แคนาดา ออสเตรเลีย สวิสต์เซอร์แลนด์ ไอซ์แลนด์ บาฮานา
แชงกรีล่า เมืองแฮบปี้ รัฐเท็กซัส อเมริกา เดนมาร์ก



ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์