วันเสาร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ผ่านไปอีกปี

นานแล้วเหมือนกันน่ะที่เราไม่ได้เข้ามาในบล็อกแห่งนี้

ไม่ได้เขียนอะไรเลย ที่จริงไม่มีเวลาซะมากกว่า

ปีนึงที่ผ่านมาที่ได้ทำงานที่ รร นี้มันให้อะไรได้หลายอย่างกับเรา ได้ประสบการณ์อย่างที่ๆอื่นไม่เคยหยิบยื่น

มาให้ ได้โอกาส ได้แรงดันผลักให้ออกไปทำงานในระดับที่สูงขึ้นไป ได้รับความไว้วางใจในการทำงาน

ได้เป็นคนเก่งในสายตาเพื่อนๆที่ทำงาน ได้ยิ้ม ได้หัวเราะ กับนักเรียนกับเพื่อนครูด้วยกัน

คิดว่ามันคุ้มค่ามาก และที่สำคัญที่สุดคือ ได้ทำงานเพื่อเด็กจริงๆ ไม่ไช่แค่มากินเงินเดือนฟรีๆ

หลายอย่างที่ รร เราขาดแคลน ไม่มี แต่พวกเราทุกคนก็พยามยามหาและให้โอกาสกับเด็กเสมอ

สร้างความคิดให้เด็กรู้สึกว่าตัวเองมีค่า มีประโยชน์โดยการให้เด็กม่ส่วนร่วมในการทำงาน ถึงแม้งานที่ออก

มาจะไม่ดีนัก แต่เค้าก้ภูมิใจที่เค้าได้มีส่วนร่วมในงานนั้น หาโอกาสผลักดันนักเรียนให้ไปเจอ ไปพบ ไปแข่ง

กับคนอื่นในสังคมถึงไม่ชนะ แต่ก็ขอให้นักเรียนมีโอกาสสนุกและแสดงออกบ้าง

ที่นี่แหละที่ทำให้ฉันเข้าใจถึงว่า ความเป็นครูผู้เสียสละอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่กินเงินเดือนไปวันๆ มุ่งแต่เรื่อง

ขั้น หาความดีใส่ตัวเอง คิดแต่เรื่องทำผลงาน นั้นทำเพื่อตัวเองมากกว่า ถึงแม้ว่าการทำสิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้

ไม่มีผลตอบแทนเรื่องขั้น เรื่องผลงาน เรื่องชื่อเสียง แต่ผลผลิตเราปั้นจะตัวบอกถึงคุณภาพของครูผู้สอน

ไม่ใช่ว่า รร มีแต่ครูดีเด่น ครูดี โรงเรียนดีเด่น โรงเรียนสวย แต่เด็กนักเรียนโง่ อ่านหนังสือไม่ออก

ไม่ทักษะ แบบนี้มันน่าอายไหม

วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2553

กำลังใจเพื่อกันและกัน

การเริ่มต้นของแต่ละคนแตกต่างกันขึ้นอยู่กับว่ามีพื้นฐานอย่างไร
หากเกิดมาเพียบพร้อมแล้วย่อมเริ่มต้นได้ดีกว่าคนที่ต้องแสวงหาตั้งแต่แรก
เริ่มจริงอยู่ที่ว่าการเริ่มต้นของแต่ละคนนั้นแตกต่างกันแต่เราสามารถก้าวขึ้นไปทันคนที่เดินอยู่ก่อนหน้าด้วยความอุตสาหะ มุ่งมั่น อดทน และพยายาม
อย่าเสียใจ...ถ้าได้ตัดสินใจผิดพลาดเพราะไม่มีใครที่ในชีวิตทำแต่สิ่งที่ถูกต้องทั้งสิ้น
การตัดสินใจหมายถึง ความเป็นตัวของตัวเองกล้าล้ม...เพื่อลุกเดินต่อไปข้างหน้าพลาด...เพราะกล้าตัดสินใจดีกว่าพลาด...เพราะไม่กล้าตัดสินใจ
เป็นกำลังใจ...ให้กันและกันจุดหมายที่ฝัน...จะไม่ห่างไกล
ก่อนชนะคนอื่นต้องเอาชนะตนเองให้ได้
ก่อนก่อนที่จะว่าคนอื่นต้องมองดูตนเองให้ถ่องแท้เสียก่อน
ก่อนที่จะรู้จักคนอื่นควรรู้จักตัวตนจริงแท้ของตนเองเสียก่อน
ความรักมิได้เป็นเพียงแค่ดอกไม้สีสวยรอยยิ้มอ่อนโยนและสายลมอันอ่อนหวานเท่านั้น
หากความรักยังเป็นสีเขียวสดของร่มไม้กลางแดดร้อนในหน้าแล้งเป็นดวงไฟในราตรีกาลมืดสนิท
เป็นมืออบอุ่นที่ช่วยประคองในยามเดินทางไกล
เมื่อมีความรักเป็นกำลังใจความยากลำบากทุกสิ่งก็ไร้ความหมายเราไม่สามารถแก้ไขอดีตไม่อาจล่วงรู้การกระทำในอนาคต
สิ่งเดียวที่เราเปลี่ยนแปลงได้คือการกระทำในวันนี้ซึ่งจะมีผลต่อตัวเราในวันข้างหน้า
ทำวันนี้ให้เป็นวันของเราคิดใคร่ครวญให้รอบคอบก่อนกระทำ
ทุกคนต้องการความอยู่รอดแต่ต้องเป็นความอยู่รอดเพื่อการก้าวไปข้างหน้า
ทุกคนต้องเคยลำบากแต่ต้องใช้ความลำบากสอนให้ตนเองก้าวไปข้างหน้า
ทุกคนเกิดมาต้องต่อสู้แต่ต้องต่อสู้เพื่อความสมหวังที่รออยู่ในวันข้างหน้า
เราเป็นกำลังใจให้กันและกันฉันจะเติบโตขึ้นเรื่อย ๆพร้อมกับการเติบโตของเธอ
เมื่อพบกับความสำเร็จเราจะได้ยืนอยู่ด้วยกัน
คนที่สิ้นหวังคือคนที่ตายไปแล้ว
โลกนี้เต็มไปด้วยหุบเหวแห่งความล้มเหลวย่อมมีบางวัน ที่เราเผลอพลั้งร่วงหล่นลงไป
เก็บเวลาที่ครุ่นคิดสงสารตัวเองเอาไว้แล้วค่อยๆ หาเศษไม้ต่อเป็นบันไดก้าวขึ้นจากหลุมพบกับแสงสว่างเบื้องบน
ความยากจนเป็นบทเรียนอันมีค่าทำให้เรากระตือรือร้นที่จะแสวงหา
ยอมรับแต่ไม่ยอมแพ้ค่อยๆ ทำสิ่งที่ดีให้กับตนเองทีละนิด
ถ้าไม่รู้จักความยากจนก็จะไม่รู้คุณค่าของความร่ำรวยเพราะสิ่งที่คนเราแสวงหานั้นคือความสุขและความสุข...ก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความร่ำรวยเพียงอย่างเดียว

วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2552

รักไม่ต้องการเวลา

เรื่องเล็กน้อย

เมื่อวันก่อนเกิดปัญหาขึ้นกับฉัน เรื่องนี้มีผู้ปกครองนักเรียนมาเอี่ยวด้วย
เค้าต้องการมาพบฉันเนื่องจากเรื่องบางอย่าง ซึ่งมันมีส่วนเกี่ยวข้องกับเราโดยตรง แต่บังเอิญวันนั้นเรา
ลากิจพอดี เพื่อนครูคนอื่นเลยรับกรรมแทนฉัน เพราะคนนั้นท่าทางหาเรื่องจริง ดีที่พี่คนนั้นช่วยแก้สถานการณ์ไว้ได้

ฉันรู้เรื่องโดยคนสนิทของฉันโทรมาบอกว่าเกิดอะไรขึ้นที่ รร ตอนแรกฉันเครียดมาก เพราะไม่นึกว่ามันจะเป็นแบบนี้ ฉันพยายามโทรหาเพื่อนที่ รร หลายคน แต่ไม่มีใครว่างรับสายเลยเพราะกำลังสอนอยู่

แต่หลังจากนั้นฉันเพียรโทรหาคนอื่นๆเรื่อยๆอยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นและเป็นยังไง แต่ทุกคำตอบที่ได้คือให้ฉันสบายใจได้ ไม่ใช่เรื่องร้าวแรงและใหญ่โตอะไร ทุกคนเข้าใจและแก้สถานการณ์ไว้เรียบบร้อยแล้ว โดยเฉพาะพี่ๆใน รร ที่ช่วยเราไว้เยอะมาก ออกรับและแก้ตัวแทนและยังแอบจิกด่ากลับแถมไปด้วย ทำให้เรารู้สึกว่า ทุกคนจริงใจกับเราจริงและทุกคนก็ไม่ถือว่าเราเป็นคนผิด เพราะเรื่องมันเล็กน้อยมากแต่คนๆนึงกลับทำให้เป็นเรื่องใหญ่ และพาลไปถึงหลายๆเรื่องหลายๆคน นั้นคือน้ำใจของทุกคนที่มีต่อฉัน

และตลอดเวลามีคนๆนึงอยู่ในสายกับฉันตลอดเวลา ในวันนั้นฉันกำลังเดินทางผ่านหุบเขาที่บางทีสัญญาณ
ก็ขาดหายไปเฉยๆ พอสัญญาณมาก็มีสายเข้าทันที บางทีฉันไม่พูดอะไรเงียบก็ไม่วางสาย ถือมันไปเรื่อยๆแบบนั้นแหละ เค้าก็ต้องถามว่า คิดอะไรอยู่ ไม่ต้องคิดมาก เรื่องมันไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เราคิดหรอก แค่คนๆเดียวที่เป็นแบบนี้ เป็นแค่ส่วนน้อยแล้วจะให้ความสำคัญกับสิ่งเล็กๆน้อยๆอย่างนั้นหรอ ทุกครั้งที่สายเข้าเวลาหลุดไปจะคอยถามอยู่ตลอดว่า เป็นไงบ้าง หายเครียดยัง และพยายามหาเรื่องคุยตลอด และอยู่กับเราจนเค้าอาซานละหมาดวันศุกร์ พอละหมาดเสร็จก็ต่อสายมาอีก

จนถึงตอนนี้อยากจะบอกขอบคุณจริงๆสำหรับความช่วยเหลือ ไม่ทิ้งกันและออกรับแทนกันโดยที่ไม่เกี่ยงว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเราทำไมต้องไปยุ่งด้วย ทำให้เรารู้ว่า อย่างน้อยก็ยังมีคนที่ดีจริงใจกับเราจริงๆ

และหลังจากวันนั้นฉันได้รู้อะไรในหลายๆเรื่อง เรื่องที่จะทำให้ฉันเข้าใจและอยู่ในสังคมนั้นได้อย่างมีความสุข

ขอบคุณน่ะทุกคน ..............................

วันศุกร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2552

คืออะไร


อะไรคือความเหมาะสม ที่คนสองคนจะคบกัน


อะไรคือตัวตัดสินว่า ควรจะคบหรือควรจะไม่คบ


ปัจจัยหลายนี้ตัวเองไม่ได้เป็นคนกำหนดขึ้นมาเอง


แต่คนอื่นเป็นคนสร้างขึ้นมาเองต่างหาก


ในเมื่อเรารัก เขาเป็นคนดี แต่มีอะไรบางอย่างที่ไม่คู่ควรกับเรา


ฉันไม่แคร์เรื่องหน้าตา ฐานะ แต่สิ่งที่ฉันต้องการมากที่สุดคือ ขอแค่คนนั้นเป็นคนที่มีความรู้เรื่องศาสนา


ส่วนสิ่งอื่นที่ตามมาเป็นผลพลอยได้


แต่ก็ลืมเรื่องนิสัยไปไม่ได้ ขอแค่เค้านั้นรักฉันให้เท่ากับที่รักตัวเค้าก้พอ


ถ้าเป็นคนจน แต่มีศาสนา คู่ควรรึป่าว


ถ้าเป็นคนไม่หล่อ แต่มีศาสนา คู่ควรรึป่าว


ถ้าเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาๆ ทำงานไม่โก้หรู แต่มีศาสนาคู่ควรรึป่าว


ถ้าไม่ได้จบปริญญาตรี แต่มีศาสนา คู่ควรรึป่าว


ทำไมคนเราถึงมีตั้งเกณฑ์มากมายหลายอย่างสำหรับเรื่องบางเรื่องที่มันไม่ใช่เรื่องของตัวเอง

วันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2552

รูปเก่าๆ









ไปค้นเจอรูปเก่าๆมา เลยเอามาลงบล้อกดีก่า แฮะๆๆๆ ไปดูเลย



รูปนี้ถ่ายกับแม่ค่ะ เสื้อดำ ส่วนด้านหลังอ่ะ ยาย ค่ะ วันนั้นจำได้ว่าไปงานศพของใครสักคนนี่แหละ อาการเลยออกมาอย่างที่เห็น ชอบตรงที่แม่มองเราเหมือนห่วงเราจังอ่ะ เรากำลังง่วงพอดี ก็เลยซบแม่อย่างนั้น


เฮ้อ ตอนนี้ก้ไม่มีแม่ให้กอดให้ซบแล้วสิ เศร้าจัง ต้องกอดตัวเอง

อันนี้ไม่ค่อยชัดอ่ะน่ะ แต่นี่คือญาติที่เกิดมารุ่นไล่ๆกัน ซ้ายสุดคือ โซไลฮา กับแม่เขา ตรงกลาง ยังกับคุณแม่ อิอิ ส่วนขวาสุด คือ อาลีย๊ะ กับแม่เหมืนอก้น คือเกิดปีเดียวกันหมดเลย แต่คนละเดียว วัน แค่นั้นเอง


ส่วนด้านหลังคือ บรรดากองเชียร์ ญาติๆ มี อาแบ มีพี่สาวฉัน ซูมะ กะญ๊ะ และกะนุช ซึ่งทั้งหมดมีครอบครัวและลูกๆก็โตๆ กันแล้ว เหลืออาแบคนเดียวที่ยังซิ่งไม่เลิก ไม่มีครอบครัว

ปัจจุบัน คนซ้ายคนขวา มีครอบครัวมีลูกหมดแล้ว เหลือคนกลาง ยังโสด ......

แสงจ้าไปหน่อย เพราะถ่ายมาจากกล้อง ไม่ได้สแกนมา กับพี่สาวยังเอง ตอนที่ยังอยู่บ้านเก่า อายุห่างกะพี่มากเลยอ่ะ แปดปี พี่ตัวโต แต่น้องยังตัวเท่ากะเปี็ยกอยู่อีก ตอนนั้นรู้สึกว่าจะอยู่ประมาณอนุบาลอ่ะน่ะ





กลับด้านซะงั้น รูปนี้ถ่ายตอนอยู่นครศรีธรรมราชค่ะ มีช่วงนึงที่ครอบครัวเราต้องย้ายไปอยู่ที่นครฯเนื่องมาจากพ่อต้องย้ายไปทำงานที่นั้น พวกเราเลยต้องอพยพครอบครัวไปอยู่ที่นั้น นี่คือในห้อง เราอยู่ในแฟลตของธนาคาร ซึ่งแฟลตนี้อยู่หลังธนาคาร ตอนที่ไปก้อยู่แค่สามคนคือ อาเยาะ เจ๊ะ แล้วก็ ยัง ส่วนพี่ก็ยังอยู่ที่ตานี เพราะต้องเรียนหนังสือ เลยอยู่กับยาย ช่วงนั้นจำได้ว่า เบื่อมากๆๆ เพราะตัวเองก็ยังไม่ได้เข้าเรียน วันๆๆก็อยู่ในแฟลตกับเจ๊ะสองคน ไม่มีของเล่น มีแต่ทีวีอันเล็กไว้ดู อย่างมากก็แค่เดินลงจากแฟลตแล้วไปที่ธนาคาร ถ้าปิดเทอมนี้สนุก ญาติๆจะมาเที่ยวกันเยอะเลย มานอนแฟลต ไปเที่ยว สนุกมาก คลายเหงาได้หน่อยนึง





บรรยากาศก่อนเรียนอัลกรุอานค่ะ นี่คือบรรดาหลานๆทั้งหมดที่มาเข้าคิวเพื่อจะเรียนในคืนนั้น เนื่องจากเรียนกับยายตัวเอง เสื้อผ้าที่ใส่ก้ไม่ต้องอะไรมาก เพราะเดินมาจากรั้วเดียวกัน ก่อนเรียนเราก็นั่งเล่นกับตาของเราก่อนค่ะ ฉันคือคนที่ชูมืออ่ะ นั่งใกล้กับตานั้นแหละ


แฮะๆๆ เริ่มเรียนแล้วค่ะ สังเกตว่า ยายก็ใส่เสื้อสบายๆเหมือนกัน ยายฉันนี่เก่งค่ะ สอนอัลกรุอานด้วย แต่หลังๆไม่สอนแล้ว สอนแต่หลานตัวเอง




อันนี้ตอนไปเที่ยวกับครอบครัวญาติๆ ไปหลายคนมากไม่ต่ำกว่าสิบคนได้มั้ง เลยมาเล่นเครื่องเล่นกัน ยังก็คือสาวที่หันหน้ามาหากล้องนั้นแหละ

วันอังคารที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2552

RaMaDon






เข้าวันที่ห้าแล้วน่ะ ที่ปอซอมา

กำลังคิดว่าทำไมมันถึงได้ผ่านไปเร็วเช่นนี้ ทั้งๆที่เมื่อก่อนเราคิดว่า แต่ละวันผ่านไปช้ามาก

แต่ตอนนี้ปุ๊ปปั๊บ ก้ห้าวันแล้ว นั้นสิทำไมมันถึงเร็ว

ที่เร็วเพราะทุกวันนี้ เราอาจจะไม่ได้เอาชีวิตไปผูกกับใคร

ใช้ชีวิตของตัวเอง ไม่ได้รอคอยใคร เวลาผ่านไปจึงรู้สึกว่า มันเร็วจัง

ทั้งๆที่งานท่วมหัว นอนไม่พอ เรานึกว่าจะแฮงค์ที่โรงเรียนซะแล้ว

ที่ไหนได้ยังมีแรงฟาดนักเรียนอีกเยอะแยะ กลับมาก็ไม่ค่อยรู้สึกเหนื่อย ถึงแม้ต้องกลับมาทำกับข้าว

เนี่ยแหละน่ะ ถ้ารู้จักปล่อยวาง ปล่อยชีวิตให้มันไหลตามเวลา เราก็จะรู้สึกว่า ชีวิตมันง่ายจัง




มีผู้ใหญ่บางคนบอกเราว่า รอมฎอนปี้นี้เก็บเกี่ยวความดีให้มาก ไม่แน่ว่าปีหน้าเราจะได้เจอกับรอมฏอน


อีกรึป่าว ฉันก็คิดว่าใช่ เพราะชีวิตฉันตอนนี้แขวนไว้บนความเสี่ยงทุกวินาที..ง





ขอให้ตักตวงความดี และความสุข ในเดือนรอมฏอนกันให้มากๆ น่ะค่ะ ( ^_^ )